สตูล –  คืบหน้า สาวใหญ่ยันไม่หนีคดีชนรถ เห็นค่าซ่อม 6.5 หมื่นแพงเกิน พร้อมสู้คดีในชั้นศาล  ไม่เจตนาหนี อ้างฝนตกหนัก-ทัศนวิสัยไม่ดี  ยันไม่ได้อ้างชื่อแม่ทัพภาค 4 เมื่อถามมาก็ตอบไป  พร้อมเคลียร์ค่าเสียหายตามเหมาะสม

จากกรณีแม่ค้าสาวใหญ่สตูลได้ร้องสื่อมวลชนให้ช่วยหลังอ้างว่าคู่กรณีชนแล้วหนี  อีกทั้งอ้างตัวเป็นผู้พิพากษาสมทบและสนิทกับแม่ทัพภาคที่ 4  ไม่ยอมรับผิดชอบให้ไปคุยกันที่ศาลเท่านั้น   วันนี้ทางทีมสื่อได้พยายามติดต่อคู่กรณีเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายโดยอ้างว่า ไม่เคยคิดอ้างผู้ใหญ่เมื่อมีคนถามมาก็ตอบไปตามความเป็นจริง ยืนยันไม่คิดหนีแต่ตอนนั้นตกใจไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน 

 

นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 หมู่ที่ 2 ต.เกตรี  อ.เมือง  จ.สตูล  ได้ติดต่อเข้าร้องทุกข์กับสื่อมวลชนว่ารถตู้ (ใช้ไปขายของตามตลาดนัด) ของตนซึ่งจอดสนิทอยู่หน้าบ้านดังกล่าวที่เตรียมจะไปขายของตอนตี 5 นาฬิกาแล้วจู่ ๆ เวลาประมาณ  1.10 น.ของวันที่ 26 ต.ค.2567 ขณะเพิ่งกลับจากทำงานไม่นานได้นั่งดูทีวีภายในบ้านได้ยินเสียงโครมอย่างหนักจึงรีบออกไปดู  พบว่ารถตู้คู่ใจทำงานของตนได้กระเด็นขึ้นมาเกยบนฟุตบาท และเห็นรถรถยนต์เก๋งแบนซ์คันก่อเหตุได้พยายามขับมุ่งหน้าหนีไปในเมืองโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดรถหลังก่อเหตุ

 

ทันใดนั้นตนจึงรีบโทรแจ้ง 191 ให้ช่วยสกัดจับรถคันดังกล่าว ก่อนตำรวจจะไปพบว่ารถคันดังกล่าวไปจอดอยู่ที่อู่แห่งหนึ่งในตัวเมืองสตูล  และได้ทำการยึดมาตรวจสอบ พร้อมเรียกเจ้าของรถ(ผู้หญิง)มาให้ปากคำโดยระหว่างนั้นเจ้าของรถได้ให้การภาคเสธกับตำรวจ และยืนยันว่าไม่ได้ผิดไม่ขอชดใช้ค่าเสียหาย ที่ทางเจ้าทุกข์ได้ให้ช่างประเมินราคาแล้ว 65,000 บาท เพราะรถตู้จอดผิดที่เอง หากอยากได้  ให้ไปคุยกันที่ศาล และยังได้อ้างตัวกับตนและตำรวจว่ารู้ไหมว่าตนเป็นใคร ตนเป็นผู้พิพากษาสมทบ และรู้จักกับแม่ทัพภาคที่ 4

 

 ซึ่งเจ้าทุกข์นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี  มองว่ามากล่าวอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ทำไม เมื่อทำผิดก็น่าจะต้องรับผิดกลับเชไช หรือว่าจะพลิกคดีเพราะรู้จักคนใหญ่คนโต  ไม่ยอมชดใช้จึงอยากให้สื่อมวลชนช่วยให้ดำเนินคดีเป็นไปตามกฎหมาย  แม้ทางตำรวจเองก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี   มีความกังวลว่า  เขาอาจจะใช้เงินทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่เราต้องการความถูกต้อง เขาจ้างทนายมาเพื่อจะไม่จ่ายตังให้  เรามองว่าเขายังเอาคนใหญ่คนโตมาพูดทั้งเขาก็ไม่รู้เรื่อง  และยังอ้างว่าตนไปสืบทราบมาว่าผู้ชนแล้วหนีในวันเกิดเหตุเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง ดื่มไวน์มาหรือไม่นั้นไม่ทราบ  อยากให้มีการตรวจสอบแต่ตนมีภาพถ่ายงานเลี้ยงก่อนวันก่อเหตุด้วย

 

โดยขณะนี้คดีทางร้อยเวรสภ.เมืองสตูล ได้ประสานให้ตำรวจชุดพิสูจน์หลักฐาน  เข้ามาตรวจร่องรอยการชนของรถเบนซ์และรถตู้คันเกิดเหตุ  เพื่อเป็นหลักฐานว่าใครผิดใครถูกกันแน่  โดยตำรวจยืนยันว่าคดีนี้จะดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน

 

           ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับคู่กรณี  และพร้อมจะชี้แจงในกรณีที่ถูกกล่าวหา

          โดยยอมรับกับสื่อมวลชนว่า  ตนชนจริงแต่ไม่รู้ว่าเป็นรถของใคร เนื่องจากรถตู้คันดังกล่าวจอดอยู่ที่ข้างถนน และอยู่ตรงจุดที่กำลังมีการก่อสร้าง มีแท่งแบริเออร์วางอยู่เต็มหมดเลย ขณะที่ขับรถตามวันเวลาดังกล่าว พยายามหลบแท่งแบริเออร์แต่ได้แฉลบไปชนรถของเขา

          ประกอบกับดึกแล้วตีหนึ่งกว่า ฝนตกหนัก มืดไม่มีแสงสว่างเลย ไม่กล้าจอดรถอยู่นานได้จอดแค่แป๊บเดียว มองไม่เห็นอะไรเลยก็เลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านก่อนดีกว่า  พอมาถึงบ้านพบว่ายางรถเสียหมดเลย

         ยืนยันได้ว่าไม่ได้เจตนาที่จะหนี และหลังไปเจอตำรวจ ได้ยอมรับกับตำรวจว่าชนจริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นรถของใคร และได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ให้ตำรวจฟัง จากนั้นตำรวจได้ขอใบขับขี่และบัตรประชาชน เมื่อตำรวจเห็นบัตร และได้สอบถามว่าพี่ทำงานอะไร และได้บอกว่าตนเองได้ทำธุรกิจส่วนตัว แล้วตำรวจถามว่าเห็นใส่ชุดคล้ายข้าราชการถ่ายรูปติดบัตร ก็เลยบอกว่าตนเป็นผู้พิพากษาสมทบ จากนั้นตำรวจบอกว่าถ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไรสามารถเช็คประวัติได้ พี่ก็ได้บอกว่าเช็คได้เลยพี่ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ผ่านการตรวจสอบมาแล้วไม่เคยทำความผิดอะไร

         แต่พอพี่กำลังจะกลับหลังจากให้ปากคำตำรวจเสร็จ มีน้องในโรงพักเขาถามว่าพี่มาจากไหน พี่เลยบอกว่ามาจากงานเลี้ยงแม่ทัพภาคที่ 4 และมีน้องอีกคนที่อยู่ในโรงพักถามว่าพี่รู้จักแม่ทัพภาคที่ 4 เหรอ ตนก็ยอมรับว่ารู้จัก โดยไม่ได้กล่าวอ้างว่ารู้จักตั้งแต่ทีแรก  ซึ่งน้องเจ้าทุกข์ก็นั่งอยู่ด้วยก็ยังได้บอกกับตนเลยว่าตนเองก็รู้จักแม่ทัพภาคที่ 4 ด้วยเช่นกัน เพิ่งไปทอดกฐินมา ตนก็บอกว่าตนก็ไปทอดกฐินด้วยเช่นกันที่รัตภูมิ  จึงได้มีการคุยกันและบอกว่าเป็นเพื่อนกับภรรยาของท่านแม่ทัพภาคที่ 4 เรียนปริญญาโทมาด้วยกัน สนิทกันจึงได้มีการเล่าสู่กันฟัง

        ยืนยันว่าไม่ได้กล่าวอ้างเพื่อที่จะให้พ้นผิด   เพราะเรื่องคดีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้ใหญ่โต คอขาดบาดตาย ตนสามารถเคลียร์ของตัวเองได้ ซึ่งทางเจ้าทุกข์ก็บอกว่ารู้จักกับภรรยาของท่าน ตนเองก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะที่วัดทอดพระป่าใครก็ไปได้ จากนั้นจึงขอตัวกลับก่อน

         ทางเจ้าทุกข์ได้บอกกับตนว่าได้ให้อู่ตีราคามาแล้วจำนวน 65,000 บาท ซึ่งตนได้บอกกับเจ้าทุกข์ว่า ราคาสูงไป แล้วได้บอกว่าขอคิดดูก่อน และบอกว่าไม่ลดอะไรให้อีกแล้วหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นตนเลยบอกว่า ก็ค่อยไปว่ากันในศาล ก็ได้. ซึ่งตนได้พูดแนวนี้

          ถ้าเขาไม่ยอมให้พี่จ่ายเท่านั้นพี่ก็สู้ไม่ไหว ซึ่งเห็นว่าเขาก็ผิดเหมือนกัน เพราะเขาไปจอดรถที่ไหล่ถนน เป็นพื้นที่แคบและเป็นพื้นที่ก่อสร้าง ตนเห็นว่าไม่เหมาะที่รถตู้จะไปจอด

          ซึ่งตนสามารถยืนยันได้อีกครั้งว่าไม่เคยกล่าวอ้างชื่อแม่ทัพแต่อย่างใด  เพราะจะโทรก็สามารถยกหูโทรได้เลย เพราะตนคุยทุกวัน

         ตนก็ยืนยันว่าจะขอเคลียร์กับเจ้าทุกข์แต่ถ้าค่าใช้จ่ายสูงขนาดนั้นก็ไม่ไหว เพราะมันสูงเกินไป เพราะถ้าพี่ผิดจริงๆก็ต้องให้ทางชุดพิสูจน์หลักฐานเขาทำงานก่อน ถ้าผิดจริงๆก็ค่อยคุยกันเรื่องค่าใช้จ่าย ถ้าค่าใช้จ่ายสูงเกินไปจะขอลดได้อีกไหมเพราะเขาก็ผิด

         พอมาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกเสียความรู้สึกมากเลย  เพราะอยากจะไกล่เกลี่ยเหมือนกัน  ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงต้องว่ากันอีกที

…………

อัพเดทล่าสุด

  รมว.ศึกษา เปิดงาน TJ-SIF 2024 ผลักดันเยาวชนไทย-ญี่ปุ่นพัฒนานวัตกรรมไอซีทีสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต

รมว.ศึกษา เปิดงาน TJ-SIF 2024 ผลักดันเยาวชนไทย-ญี่ปุ่นพัฒนานวัตกรรมไอซีทีสู่การขับเคลื่อนประเทศอย่างยั่งยืนในอนาคต