Categories
ข่าวทั่วไป

ถนนหน้าบ้านขรุขระเป็นหลุมบ่อ … ฟ้องศาลขอเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีตได้ไหม ?

ถนนหน้าบ้านขรุขระเป็นหลุมบ่อ … ฟ้องศาลขอเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีตได้ไหม ?

           เชื่อว่า … ถ้าหน้าบ้านใครเป็นถนนดินหรือถนนลูกรัง คงจะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝนที่มักเกิดปัญหาถนนเฉอะแฉะ เป็นหลุมบ่อ หรือหากเป็นช่วงหน้าร้อน ก็มักมีฝุ่นดินฟุ้งกระจายเวลารถวิ่งผ่าน แทบทุกบ้านจึงอยากให้ถนนหน้าบ้านของตนเป็นถนนคอนกรีต เนื่องจากมีความทนทานสูง รับน้ำหนักได้ดี และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ก็มีข้อเสียคือ ต้นทุนการก่อสร้างที่สูงและการซ่อมแซมที่ยุ่งยาก ตรงกันข้ามกับถนนลูกรังที่ใช้งบประมาณน้อย การก่อสร้างและซ่อมแซม  สามารถทำได้ง่าย แต่ก็ต้องทนกับฝุ่นและไม่ทนทานหรือเกิดการชำรุดเสียหายได้ง่ายตามที่กล่าวมา

 

         พาให้ชวนสงสัยว่า … ถ้าหากเราอยากให้หน่วยงานของรัฐก่อสร้างปรับปรุงถนนหน้าบ้าน
ให้เป็นถนนคอนกรีต จะสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้หรือไม่ ?

 

         ประเด็นปัญหา : นางหญิงซึ่งพักอาศัยอยู่กับมารดาอ้างว่า ครอบครัวตนได้รับความเดือดร้อน
จากการไม่สามารถใช้ทางสาธารณประโยชน์หน้าบ้านที่มีขนาดกว้าง 2 เมตร ในการนำรถยนต์ขนาดเล็กผ่านเข้าออกได้โดยสะดวก เนื่องจากมีสภาพขรุขระเป็นหลุมบ่อ ทำให้ต้องสัญจรผ่านที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งก็มักจะมีน้ำท่วมขัง
ในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้ตนต้องประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้เทศบาล (ผู้ถูกฟ้องคดี) ทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กบนทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว

 

          ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาว่า : แม้ผู้ฟ้องคดีจะเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ของเทศบาลก็ตาม แต่ผู้ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้นั้น นอกจาก
ต้องเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายดังกล่าวแล้ว ในส่วนการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อน
หรือความเสียหายตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอ จะต้องเป็นกรณีที่ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับได้
ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ด้วย

 

          การที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เทศบาลก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก
บนทางพิพาท ซึ่งแม้จะถือเป็นอำนาจหน้าที่ของเทศบาลที่ต้องจัดให้มีการบำรุงทางบกและทางน้ำตามมาตรา 53 และมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แต่การที่เทศบาลจะดำเนินการก่อสร้างถนนดังกล่าวหรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของเทศบาลโดยตรงที่จะต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงความจำเป็นเร่งด่วนเป็นสำคัญ คำขอของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำขอที่ให้ศาลมีคำบังคับ
เข้าไปจัดการบริหารงานในภาระหน้าที่ของเทศบาลซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายปกครองโดยแท้ในทางบริหาร
กรณีจึงเป็นคำขอที่ศาลไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปกำหนดคำบังคับให้ได้ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2)
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1183/2567)

 

           สรุปได้ว่า : แม้ราชการส่วนท้องถิ่นหรือเทศบาลจะมีหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงรักษาถนนหนทาง แต่ประชาชนก็ไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับให้มีการดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงถนน
เป็นรูปแบบคอนกรีตเสริมเหล็กตามที่ตนต้องการได้ เนื่องจากการพิจารณาก่อสร้างถนนในรูปแบบดังกล่าว
เป็นอำนาจโดยแท้ในทางบริหารของเทศบาลซึ่งต้องคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงความจำเป็นเร่งด่วนเป็นสำคัญ ศาลจึงไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปกำหนดคำบังคับให้ดำเนินการดังกล่าวได้  อย่างไรก็ตาม การที่ถนนชำรุดบกพร่องหรือมีสภาพขรุขระเป็นหลุมบ่อ จนทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติหรืออาจเกิดอันตรายจากการใช้งาน ถือได้ว่าผู้ใช้ถนนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ในการบำรุงรักษาถนนตามาตรา 50 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ จึงสามารถฟ้องคดี
ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้กำหนดคำบังคับให้หน่วยงานทางปกครองดำเนินการซ่อมแซมให้ถนนสามารถ
ใช้งานได้อย่างปลอดภัยหรือป้องกันอันตรายอันเกิดจากการใช้ถนนได้ … นั่นเองครับ

(ปรึกษาการฟ้องคดีปกครองได้ที่สายด่วนศาลปกครอง 1355)

โดย ลุงถูกต้อง

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 68 ปรับตัวดีต่อเนื่อง

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 68 ปรับตัวดีต่อเนื่อง กระแสเงินสดแกร่งขึ้น หนี้ลด ครึ่งปีหลังเร่งเครื่องฝ่าพายุเศรษฐกิจโลก ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน”  “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ดัน “สินค้า Smart Value – HVA – Green” รุกตลาดเติบโต  เคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น

31 กรกฎาคม 2568 – กรุงเทพฯ : เอสซีจี เผยผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ครึ่งปีแรก 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงจากสิ้นไตรมาส 1/2568 ลดลงเกือบหมื่นล้านบาท จากการปรับตัวของทุกธุรกิจ ปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร ประเมินเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ครึ่งปีหลัง 2568 ยังท้าทายสูง จากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เร่งเครื่องธุรกิจ   ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ดัน “สินค้า Smart Value – HVA – Green”  รุกตลาดเติบโต พร้อมเคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น ดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง

 

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มุ่งดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2567 ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ร้อยละ 21 จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี) ปรับแผนผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดี และธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง

 

ขณะที่ไตรมาส 2/2568 บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลง 7,164 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2568 หนี้สินสุทธิ ลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568 และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท

 

ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 เอสซีจี มีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท

สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568 เช่น

  • ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 1,100 ล้านบาท เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เจรจาลดต้นทุนวัตถุดิบ บริหารจัดการสินค้าคงคลัง ลดต้นทุนได้ 146 ล้านบาทต่อปี และ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้หุ่นยนต์และพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 105 ล้านบาท
  • ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
  • ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท

 

อย่างไรก็ตาม เอสซีจี มองว่าสถานการณ์ครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังท้าทายอยู่มาก จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business Competitiveness) เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่

1.) ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี โดยเน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซี เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568 ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้                  กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร

นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution” เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ของเอสซีจีพี

2.) “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก

  • การใช้หุ่นยนต์และ AI เช่น เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS Warehouse System) ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง รวมทั้งร่วมกับพาร์ทเนอร์ พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ นอกจากนี้ ได้เริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เอสซีจี เดคคอร์ ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้า และ เอสซีจีซี ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน อาทิ โรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC มีสัดส่วนการใช้หุ่นยนต์ (Robot Density) เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์
  • การลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน

3.) ดัน “สินค้า Smart Value – HVA – Green” รุกตลาดเติบโตสูง

  • เร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม “ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์­ “หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO” โดย เอสซีจี เดคคอร์
  • สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) และโซลูชัน เช่น “CHILLOX” โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็นที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ลดการใช้ไฟฟ้า และกักเก็บความเย็นได้นานในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมทั้งต่อยอดความเชี่ยวชาญสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ อาทิ “DRS” (Digital Reliability Service Solutions) บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมครบวงจรรายแรกของโลก โดย เอสซีจีซี “ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูงสำหรับท่อร้อยสายไฟใต้ดิน” ที่ใช้เทคโนโลยีคอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษ เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ช่วยลดอุบัติเหตุและลดเสียงดังเมื่อรถวิ่งผ่าน และ “ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป” สำหรับปั้นก้อนแต่งมุมให้เรียบตรงและได้ฉาก รายแรกในไทย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ “ONNEX ArcBox” นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้ลุกลามแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีจากอังกฤษ และ “ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์” ที่พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นและยืดหยุ่น โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง “ฟิล์มติดอาคาร Raycoool” ที่ใช้เทคโนโลยี Radiative Cooling ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนออกจากอาคาร ทำให้ในอาคารเย็นขึ้นและลดการใช้พลังงาน โดย เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr” “วัสดุตกแต่งพื้นผิว Standard Click Lock” ติดตั้งไว กันน้ำ กันปลวก และ “กระเบื้อง X STRONG” กันรอยขีดข่วนและรับน้ำหนักเป็นพิเศษ พร้อมปล่อยประจุบวกเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ โดย เอสซีจี เดคคอร์
  • สินค้ากรีน (Green Products) เช่น “ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR” รายแรกในไทย โดย เอสซีจีซี และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท” ที่มีเทคโนโลยี HeatSync ช่วยสะท้อนความร้อนได้ดีและคายความร้อนได้เร็ว โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง

นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน เอสซีจี เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้ อีกทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน          เอสซีจี จึงร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ จัดโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ ต่อเนื่อง รวมทั้งจัด Leadership Forum ในงาน ‘ESG Symposium’ ช่วงสิงหาคม – ตุลาคม 2568 ซึ่งเชิญองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) รวมทั้งองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจ ตลอดจนผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Green Transition) และพร้อมแข่งขันระดับโลกท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ได้”

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568

*******************************************

อัพเดทล่าสุด