Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-บุตรสาวนายกฯสตูลหลงรักอาชีพเกษตร..ทันทีที่เรียนจบแม่โจ้ลุยปลูกแตงโมพืชทนแล้ง อายุสั้นทำเงินไว  แซมสวนยางพารา 65 วัน  รับเงินครึ่งล้าน

สตูล-บุตรสาวนายกฯสตูลหลงรักอาชีพเกษตร..ทันทีที่เรียนจบแม่โจ้ลุยปลูกแตงโมพืชทนแล้ง อายุสั้นทำเงินไว  แซมสวนยางพารา 65 วัน  รับเงินครึ่งล้านส่งขายมาเลย์  เผยจะทำอะไรต้องมีความรู้ก่อนจึงจะประสบความสำเร็จ 

         ที่บ้านบูโล๊ะ   หมู่ 4 ตำบลท่าแพ อำเภอท่าแพ  จังหวัดสตูล บนพื้นที่ 16 ไร่  กลางสวนยางพาราต้นใหญ่ที่ล้อมรอบ  เกษตรกรรุ่นใหม่ยังสมาร์ทประจำอำเภอท่าแพ  ได้ลงมือปลูกแตงโมพันธุ์ตอปิโดแซมสวนยางกล้าอ่อน  โดยขณะนี้ได้ให้ผลผลิตขนาดใหญ่พร้อมเก็บเกี่ยว  หลังลงมือปลูกเพียง 65 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว

          การปลูกแตงโมบนพื้นที่ขนาดใหญ่   ด้วยการใช้ระบบการปลูกโดยใช้พลาสติกคลุมดิน /ให้น้ำ  ปุ๋ย ผ่านระบบน้ำใต้ผ้ายางพลาสติก เป็นชุดความรู้ที่น้องด๊ะ   หรือนางสาววิลาวรรณ  เปรมใจ  อายุ 26 ปี (บุตรสาวคนที่ 3 ของนายกอบต.ท่าเรือ ที่หลงใหลในอาชีพเกษตรจบ ป.ตรี ม.แม่โจ้ วิชาเอกพืชผัก)  ได้เรียนรู้และศึกษาจนนำมาซึ่งการลงมือทำ 

          น้องด๊ะ  หรือนางสาววิลาวรรณ  เปรมใจ  อายุ 26 ปี เกษตรกรรุ่นใหม่ หรือ ยังสมาร์ทฟาร์มอำเภอท่าแพ  หลังจบการศึกษาจากแม่โจ้กลับบ้านลงมือทำการเกษตรทันทีที่โค่นยางพาราแก่  เพื่อปลูกแตงโมบนพื้นที่ 16 ไร่แซมต้นยางพาราที่ปลูกใหม่  เพื่อใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด   จากที่เกษตรกรหลายคนไม่กล้าปลูกเพราะกลัวปัญหานานาและในอำเภอท่าแพนับเป็นเจ้าแรกที่ปลูกแตงโมแปลงใหญ่สุด ด้วยเกษตรกรรุ่นใหม่จนประสบความสำเร็จ

        น้องด๊ะ  ยังสมาร์ทฟาร์มอำเภอท่าแพ  กล่าวเพิ่มว่า   การปลูกแตงโมครั้งนี้   เป็นการปลูกแบบสมัยใหม่ จากเมื่อก่อนรุ่นพ่อรุ่นแม่ปลูกก็คือใช้จอบขุดและน้ำหยอด  มาเปลี่ยนเป็นให้น้ำให้ปุ๋ยผ่านระบบสายน้ำฝน  ปูผ้ายางคลุมวัชพืช  จากเมื่อก่อนปลูกยางพาราเดียวมาเป็นปลูกพืชแซม  ที่เลือกแตงโมเพราะตรงกับช่วงแล้งอีกทั้งเป็นพืชเศรษฐกิจก็จะได้ราคาดี  อนาคตตั้งใจจะมีศูนย์เรียนรู้แลกเปลี่ยนถ่ายทอดความรู้ ภายใต้ชื่อ  สวนเปรมปัญญา    สนใจติดต่อสอบถามแลกเปลี่ยนความรู้  089-6545850  

         น้องด๊ะ  ยังเห็นว่าการทำเกษตรให้ประสบความสำเร็จ  เกษตรกรเองต้องมีความรู้ ก่อนลงมือทำเพราะทำให้เราประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง  มาวันนี้แตงโมพันธุ์ตอปิโด   ให้ผลผลิตลูกละ 5-6 กก.ขายที่กิโลกรัมละ 10 บาท โดยมีพ่อค้ามารับซื้อไปยังประเทศมาเลเซียเพราะจะนิยมลูกโตซึ่งผลผลิตการปลูกเป็นไปตามแผนที่วางไว้คือ  6,000 กก.  สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 600,000 บาทที่ยังไม่หักค่าใช้จ่าย 

 

          นายอารีย์  โส๊ะสันสะ  เกษตรอำเภอท่าแพ  กล่าวว่า  น้องยังสมาร์ทฟาร์มเมอร์เป็นเกษตรกรรุ่นใหม่มีความรู้รอบ  ด้านการเกษตรเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว   ทางสำนักงานเกษตรอำเภอท่าแพเองมีการติดต่อกันเป็นประจำ   เจ้าหน้าที่ประสานงานกันอยู่ตลอด   มันมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้คำแนะนำเพิ่มเติม  จัดการสวน   เป็นคนตั้งใจและมีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติ  ใช้ความรู้เดิมเข้ามากับการดูแลสวนทำให้ประสบความสำเร็จ

         นอกจากจะเป็นเกษตรกรเจ้าแรกในอำเภอท่าแพที่ลงมือปลูกแตงโมแปลงใหญ่แล้ว  และหลังการเก็บเกี่ยวแตงโมครบกำหนด 20 วัน พักหน้าดินแล้ว   น้องด๊ะ   ได้วางแผนเตรียมพื้นที่นี้ปลูกฟักทองพันธุ์ใหญ่ ซึ่งเป็นพืชอายุสั้นที่ให้รอบเร็วและเป็นที่ต้องการของตลาดต่อเลย

……………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

คุณหมออนามัย  ปลูกสละอินโดแซมสวนยางพาราให้ผลผลิตทั้งปี   เสริมรายได้รับเหนาะๆสัปดาห์ละ 10,000 บาท 

คุณหมออนามัย  ปลูกสละอินโดแซมสวนยางพาราให้ผลผลิตทั้งปี   เสริมรายได้รับเหนาะๆสัปดาห์ละ 10,000 บาท

        “สละอินโด  พันธุ์สายน้ำผึ้ง”   ถูกเลือกมาปลูกแซมในพื้นที่สวนยางพาราและสวนผลไม้ผสม  บนพื้นที่ หมู่ 5 ต.เกตรี อ.เมือง จ.สตูล  จำนวน 25 ไร่  จากพื้นที่ทั้งหมด  36 ไร่  ของ   นายรอศักดิ์  หมาดสา  อายุ 38  ปี  เกษตรกรสวนสละอินโด  เพื่อเพิ่มรายได้เสริมจากอาชีพหลักที่เป็น นักวิชาการสาธารณสุข ชำนาญการ  รพ.สต.วังพะเนียด ต.เกตรี  หรือที่ชาวบ้านเรียก “หมอศักดิ์”   มาปลูกสละสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ

 

           ทุกวันหยุดเสาร์  – อาทิตย์  หมอศักดิ์ จะใช้เวลาเข้าสวนสละ  เพื่อมาตกแต่งทางใบต้นสละให้ต้นสวยมีคุณภาพ  และตัดผลสละขายให้กับลูกค้า  อีกทั้งยังเพาะพันธุ์ต้นขายให้เกษตรกรรายอื่นๆ   และยังส่งมอบให้โรงเรียนในพื้นที่เพื่อปลูกด้วย

         

         โดยราคาสละอินโด พันธุ์สายน้ำผึ้งของทางสวนหมอศักดิ์ จะมีรสชาติ หวานกรอบ  ขายปลีกและส่งในราคากิโลกรัมละ 60 บาท  รอบสัปดาห์จะเก็บครั้งละ 100-200 กิโลกรัม  สร้างรายได้สัปดาห์  6,000-10,000 บาท   

           นายรอศักดิ์  หมาดสา  เกษตรกรปลูกสละ  บอกว่า   อาชีพรับราชการก็เป็นอาชีพหลักอยู่แล้ว  ส่วนตัวเริ่มมีแนวคิดว่าจะต้องหารายได้เสริม  จึงคิดที่จะปลูกสละจากคำแนะนำของรุ่นพี่  เลยเริ่มปลูกเมื่อลองทำดูก็เข้ากับตัวเองได้   โดยใช้เวลาว่างเสาร์-อาทิตย์  มาดูแลกับเพื่อนหนึ่งคน   ช่วยกันทำตอนนี้สองปีกว่า  สวนทดลองก็ให้ผลผลิตแล้ว  โดยปลูกบนพื้นที่ร่วม 30 ไร่  มีการบริหารจัดการปลูกภายใต้สวนยาง  และสวนทุเรียน 

 

           สำหรับต้นที่ให้ผลผลิตแล้วบางส่วน   รายได้ประมาณสัปดาห์ละ 6000 ถึง 10,000 บาทรวมรวมเดือนละสองถึง 30,000 บาท  ในช่วงนี้ตัด 100  ถึง 200 กิโลกรัมต่อสัปดาห์  ลูกค้าจะอยู่ในเมืองสตูลและในจังหวัดก็จะขายระบบออนไลน์   ส่วนเกษตรกรที่มีแนวคิดคล้ายๆกันมีประมาณ 10 ถึง 20 ราย  ก็จะมาขอซื้อต้นพันธุ์ไปปลูก   ขายราคาต้นพันธุ์เริ่มต้นที่ 30 บาท  หากต้นที่มีมีอายุปีนึงก็จะขายต้นละ 150 บาท คละกันกันระหว่างตัวผู้ตัวเมีย

 

          นายรอศักดิ์  หมาดสา  แนะนำเพิ่มเติมว่า  สำหรับเกษตรกรที่สนใจจะปลูกสละ   ถ้ามีพื้นที่พื้นที่ที่ปลูกยางพารา   หรือปลูกต้นปาล์มโดยมีระยะห่างที่เหมาะสม   แนะนำว่าการปลูกสละอินโดเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรรายใหม่ได้

 

           ด้านนายเฉลิมพร  ศรีสวัสดิ์  เกษตรอำเภอเมืองสตูล  พร้อมเจ้าหน้าที่เกษตร ลงพื้นที่แปลงสละ โดยกล่าว ในส่วนของสำนักงานเกษตรอำเภอก็ได้เข้ามาส่งเสริมให้ความรู้ในเรื่องของการบริหารจัดการสวน   การจัดการปุ๋ย   การเข้าสู่มาตรฐานสินค้าเกษตรที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน   ในเรื่องของด้านการตลาด  โดยเกษตรกรรายนี้ยังมีแนวคิดที่จะพัฒนาสวนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรในตำบลเกตรี   อำเภอเมือง   ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกรมส่งเสริมการเกษตรที่จะพัฒนาพื้นที่  จัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรด้วย

 

          ในส่วนของสละ  พูดถึงก็เป็นรายได้เสริมที่ดี  หรือบางรายทำเป็นรายได้หลักไปเลย   สละที่ปลูกในจังหวัดสตูล   จะมีตั้งแต่สายพันธุ์สุมาลี   เนินวง   ส่วนหนึ่งก็มาปลูกสละอินโด  ซึ่งเป็นรายได้เสริมของเกษตรกร    ในส่วนของแปลงสละแห่งนี้ก็เป็นแหล่งจำหน่ายพันธุ์   และเป็นแหล่งแหล่งเรียนรู้ของเกษตรกรในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอใกล้เคียงที่สนใจจะปลูกสละอินโด

 

          สำหรับสละสามารถออกผลผลิตได้ตลอดปี   ทำให้เกษตรกรมีรายได้ตลอด   สละไม่ต้องปลูกตามฤดูกาลแต่สามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี   หากท่านใดต้องการสั่งต้นพันธุ์ โทร  096-9705301

……………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

แล้งนี้ที่สตูล  เลี้ยงผึ้งเดือนห้าแซมสวนยางจากรายได้เสริมแซงรายได้หลัก  รสชาติหวานฉ่ำคลายร้อน  เตรียมโกอินเตอร์ต่างแดน   ท้องถิ่นฉลุงช่วยเกษตรกรขาย  หลังผลิตภัณฑ์มีหลากหลายพร้อมตอบโจทย์ลูกค้า 

แล้งนี้ที่สตูล  เลี้ยงผึ้งเดือนห้าแซมสวนยางจากรายได้เสริมแซงรายได้หลัก  รสชาติหวานฉ่ำคลายร้อน  เตรียมโกอินเตอร์ต่างแดน   ท้องถิ่นฉลุงช่วยเกษตรกรขาย  หลังผลิตภัณฑ์มีหลากหลายพร้อมตอบโจทย์ลูกค้า 

       นายสุจริต  ยามาสา  นายกองค์การบริหารส่วนตำบลฉลุง ลงพื้นที่ชมวิธีการจับผึ้งโพรง  ของกลุ่มเลี้ยงผึ้งโพรงมุสลิมบ้านทุ่งพญา หมู่ที่ 14 ตำบลฉลุง  อำเภอเมือง จังหวัดสตูล  ซึ่งมีการปลูกแซมในสวนยางพาราเป็นรายได้เสริม แต่กลับพบว่า  รายได้จะแซงรายได้หลักอย่างยางพาราไปแล้ว  โดยเกษตรกรกลุ่มนี้ได้จำหน่ายลังผึ้งเพียงผลิตภัณฑ์เดียว  ก็สามารถสร้างรายได้หลักล้านบาท  

        และขณะนี้เกษตรกรแต่ละราย  ก็จะนำลังผึ้งไปเลี้ยงภายในสวนยางพาราของตัวเอง  เป็นรายได้อีกทางหนึ่งให้กับเกษตรกรและชาวบ้าน   โดยพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสม  ต่อการอาศัยอยู่ของผึ้งเนื่องจากมีความชื้นที่พอเหมาะ   และยังติดพื้นที่ชุ่มน้ำ  เขตห้ามล่าหนองปลักพระยาและเขาระยาบังสา

         นายราเหม หยังหาด ประธานกลุ่มฯ ได้สาธิตวิธีการจับผึ้งที่ปลอดภัยในครั้งนี้ ด้วย   สำหรับหนึ่งลังจะได้น้ำผึ้งประมาณ 3-4  ขวด จำหน่ายขวดละ 600 บาท  แต่ปัจจุบันมีขนาดขวดที่แตกต่างกันออกไป มีตั้งแต่ขวดละ 50 บาท ไปจนถึง 600 บาท พร้อมแพคแก็ตที่สวยงามเหมาะแก่การเป็นของขวัญของฝากอีกด้วย  ซึ่งการเลี้ยงผึ้งสร้างรายได้ให้ชุมชนเข้มแข็ง

        โดยวิสาหกิจชุมชน  กลุ่มเลี้ยงผึ้งโพรงมุสลิมทุ่งพญา ตำบลฉลุง จ.สตูล ทางกลุ่มได้ทำการเลี้ยงผึ้งมากว่า 8  ปี ปัจจุบันนอกจากมีการจำหน่ายน้ำผึ้ง  ยังมีผลิตภัณฑ์จากผึ้งแบบครบวงจร ตั้งแต่ ลังผึ้ง สารล่อผึ้ง ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากผึ้ง และยังมีการเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาเรียนรู้วิธีการเลี้ยงผึ้งอีกด้วย

        นายราเหม หยังหาด ประธานกลุ่มฯ  บอกว่า ผลิตภัณฑ์จากน้ำผึ้งของทางกลุ่มวิสาหกิจชุมชน  กลุ่มเลี้ยงผึ้งโพรงมุสลิมบ้านทุ่งพญา  มีมากมาย  โดยเฉพาะเครื่องดื่มพญาผึ้ง  ที่มีส่วนผสมจากน้ำส้มของอินทผาลัมและน้ำผึ้ง   ทางศาสนายอมรับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณทางยา  ทำให้มียอดจำหน่ายดีกว่าผลิตภัณฑ์อื่นๆ   ก่อนหน้านี้เคยจำหน่ายได้ 3-400 โหล  โดยเฉพาะตอนนี้ทางกลุ่มเตรียมที่จะผลักดันสินค้าไปขายยังประเทศมาเลเซีย   แต่ติดอยู่ที่ค่าเงินของต่างประเทศยังอ่อนค่าอยู่ทำให้ต้องชะลอ  นอกจากนี้กลุ่มลูกค้า 3 จังหวัดชายแดนใต้  ก็ได้รับความนิยม   ทางกลุ่มยังมีเครือข่ายหลายจังหวัดในการทำงานเชื่อมโยงกัน

          การจับผึ้งเดือนนี้ถือว่าเป็นน้ำผึ้งที่ดีเลิศ  โดยเฉพาะน้ำผึ้งที่นี่มีลักษณะเด่น  จะเป็นสีทอง  หอมหวาน อร่อย และยังมีสรรพคุณทางยา สำหรับท่านที่สนใจสามารถสอบถามสั่งซื้อ  ได้ที่กลุ่มผึ้งโพรงมุสลิมบ้านทุ่งพญา ผ่านทางประธานชมรม ที่หมายเลขโทรศัพท์ 06-2   231  –  8316

……

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

แปลกแต่จริง! ขนมทอดน้ำมันเย็น  แลมแปง  ขนมหาทานยากที่กำลังจะสูญหายไปจากหมู่บ้าน

แปลกแต่จริง! ขนมทอดน้ำมันเย็น  แลมแปง  ขนมหาทานยากที่กำลังจะสูญหายไปจากหมู่บ้าน

 

           ที่จังหวัดสตูลเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีขนมพื้นเมืองมากมาย   ดินแดนแห่งนี้มีพรหมแดนติดไทยมาเลเซีย  ทำให้วัฒนธรรมการกินมีการสืบทอดไปมา    ที่นี่จึงมีขนมที่มีชื่อแปลก ๆ และกรรมวิธีแปลกๆ แบบโบราณให้เห็นมากมาย 

 

           วันนี้ทีมข่าวไปเสาะหาขนมพื้นเมือง   ที่กำลังจะสูญหายไปจากพื้นที่    เพราะด้วยกรรมวิธีการทำที่พิเศษกว่าขนมทั่วไป  คือ    ต้องทอดในน้ำมันที่เย็นเท่านั้น  ไม่อย่างงั้น   ตัวขนมจะหักง่าย  และ เหี่ยว  หน้าตาไม่น่ารับประทาน    ขนมที่ว่านี่ก็คือ  ขนมแลมแปง  เป็นชื่อภาษามลายูที่มีความหมายเป็นห่วงคู่คล้องใจ  

 

          โดยส่วนผสมของขนมแลมแปง   ประกอบด้วย  แป้งข้าวเหนียว  ไข่ไก่  และเกลือนิดหน่อยผสมให้เข้ากัน  นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน   ปั้นเป็นห่วงคู่คล้องใจ    แล้วนำไปแช่ในน้ำมันทิ้งไว้   เพื่อไม่ให้ตัวขนมแห้ง   ก่อนที่จะนำมาทอดในน้ำมันที่เย็นในกระทะ  แล้วค่อยๆ เปิดไฟอ่อนๆ ให้ตัวขนมค่อยๆ ฟูตัวขึ้นแบบสม่ำเสมอกัน (ในขั้นตอนนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญชำนาญการพอสมควร)   ไม่อย่างนั้น   จะทำให้ตัวขนมแตกหัก  ไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการได้

 

         นางสภิณา สูสัน อายุ 40 ปี หรือ เป็นที่รู้จักในนามว่าร้านก๊ะหนา เป็นอีกหนึ่งคนที่สืบทอดการทำขนมแลมแปง ไม่น้อยกว่า 5 ปี ยอมรับว่า ขนมชนิดนี้จะต้องใช้ความอดทน ความชำนาญและความวิถีพิถัน ในการทำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะขั้นตอนการขึ้นรูปขนม และการทอดขนม ที่จะต้องให้น้ำมันมีความเย็นก่อนถึงจะใส่ตัวขนมลงไป แล้วค่อยๆเปิดไฟอ่อนๆให้ขนมพองตัวขึ้น โดยได้สืบทอดขนมนี้มาจากบรรพบุรุษ จะทำขายในช่วงเดือนฮารีรายอก่อนออกบวช 13 วันเท่านั้น ตอนนี้ในหมู่บ้านมีคนทำขนมชนิดนี้น้อยมาก ไม่เกิน 5 คนที่ทำขนมนี้เป็น

        โดยทางครอบครัวร้านก๊ะหนา จะทำขนมต้อนรับเดือนฮารีรายอเป็นรายได้เสริม 10 กว่าวันก่อนถึงเทศกาลฮารีรายอ สร้างรายได้เสริมในห้วงนี้ไม่น้อยกว่า 10,000 บาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ และส่งตามร้านค้า สำหรับขนมแลมแปง เป็นขนมที่ได้รับความนิยมรับประทานเพราะมีคนทำน้อย เนื่องจากขั้นตอนที่ยุ่งยาก

        นางสาวนูรอัยนี มายาสัน อายุ 23 ปี บุตรสาวร้านก๊ะหนา ยอมรับว่าตนไม่ค่อยถนัดในเรื่องของการทำขนมแต่จะมาช่วยคุณแม่โพสต์ขายทางออนไลน์ และ รับออเดอร์ให้ ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากโลกโซเชียล และอนาคตหวังว่าจะทำให้ขนมแลมแปง ขนมพื้นถิ่นในจังหวัดสตูลของตำบลควนสตอเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยจะจำหน่ายเป็นถุง 12 ชิ้นราคา 35 บาทหรือ 3 ถุง 100 บาท นอกจากนี้คุณแม่ยังทำขนมโดนัท , ขนมเขี้ยวหมีหรือขนมเขาควาย, และขนมไข่เต่าไส้สับปะรดจำหน่ายด้วย ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อ 089 975 4537 หรือ 080 029 8913 เฟสบุ๊ค Noorainee Mayasan

          นางสาวบีเซาะห์ เกปัน นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการ สังกัดสำนักปลัด อบต.ควนสตอ จังหวัดสตูล บอกว่า ขนมพื้นถิ่นในตำบลควนสตอมีอยู่มากมายหลายชนิด อาทิ ขนมบุหงาบุดะ ขนมไข่กรอบ ขนมลา และที่สำคัญขนมแลมแปง ที่หาทานยากก็สามารถมาหาซื้อได้ที่ตำบลแห่งนี้สามารถติดต่อสอบถามที่ได้ อบต.ควนสตอ หรือ ติดต่อโดยตรงกับทางร้านค้าทำขนมที่ให้เบอร์ไว้ได้เลยค่ะ

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-ชวนล่องเรือหา  สาหร่ายสาย  เรียบป่าโกงกางเมนูธรรมชาติพื้นถิ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง  มีเยอะฤดูแล้ง เตรียมส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

สตูลชวนล่องเรือหา  สาหร่ายสาย  เรียบป่าโกงกางเมนูธรรมชาติพื้นถิ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง  มีเยอะฤดูแล้ง เตรียมส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

            ในช่วงน้ำ 14 ถึง 15 ค่ำ  และ 1 ถึง 2 ค่ำฤดูแล้งชาวบ้านหมู่ที่ 8 บ้านนาพญา  ตำบลละงู อำเภอละงู  จังหวัดสตูล  จะนำเรือออกล่องไปตามลำคลองเรียบป่าโกงกางเพื่อหา  สาหร่ายสาย (สาหร่ายขนนก)  หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหา  ลาโต๊ส  , ลาสาย หรือ สาย

          โดยแหล่งหาสาหร่ายสาย   จะมีด้วยกัน 2 ลำคลองคือ 1 โซนท่านาพญา  และ 2 โซนท่าพะยอม   ทันทีระดับน้ำในลำคลองลดลง   จนเกือบถึงยอดอกชาวบ้านที่ว่างเว้นการออกเรือหาปูดำ  หรือออกเรือหาแมงกะพรุน  ก็จะพากันออกไปหาในช่วงฤดูแล้งเพื่อเป็นรายได้เสริม

         โดยทุกคนที่มาหาจะมีทั้งวัยรุ่นและผู้สูงอายุอย่างคุณลุงปิยะศักดิ์  เภอสม  วัย  68  ปี ที่ยอมรับว่าออกมาหาสาย  ตั้งแต่วัยหนุ่มนานถึง 30 ปีแล้ว   โดยเคยหามากสุดในชีวิตคือ 40 กิโลกรัม เมื่อหลายสิบปีก่อน  แต่ตอนนี้หาได้มากสุด 10 กว่ากิโลกรัม   โดยอุปกรณ์ก็จะมีแว่นตาดำน้ำ   และภาชนะสำหรับใส่   สาหร่ายสาย  โดยการหาในแต่ละครั้งจะต้องดำดิ่งลงไปในน้ำที่มีความลึกประมาณยอดอก  แต่หากลึกกว่านั้น   ก็จะหลีกเลี่ยงไปหาพื้นที่อื่นเพื่อเซฟร่างกายด้วยเช่นกัน   เพราะจะต้องกลั้นหายใจให้นานเพื่อที่จะไปดึง สาหร่ายสาย   ขึ้นมาจากน้ำให้ได้

        น้องวินกับน้องแม๊ค    บอกว่า  หากวันไหนไม่ออกเรือหาปูดำ  หรือหาแมงกะพรุน  พอเข้าสู่ฤดูแล้งก็จะออกมาหา   สาหร่ายสาย  หรือ  สาย  โดยช่วงแรก ๆ ก็จะออกมาหากับคุณพ่อ   พอรู้แหล่งพิกัดก็จะออกมาหาตามลำพัง     โดยพบว่า  สาหร่ายสาย  มักจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนริมป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์   เมื่อกระโดดลงน้ำและเท้าถึงพื้น   สัมผัสว่ามีความนิ่มก็หมายความว่าบริเวณนั้นมี  สาหร่ายสาย  เป็นจำนวนมากนั่นเอง   ใน 1 ปีหาได้เพียงไม่กี่เดือน  โดยจะหาได้มากสุดก็ช่วงที่น้ำลดลงต่ำสุด  เพราะต้องใช้ความชำนาญในการกลั้นลมหายใจในการดำน้ำดึงสาหร่ายขึ้นมา  

          การออกมาหา  สาหร่ายสาย(สาหร่ายขนนก) หรือ  ลาโต๊ส  ในครั้งนี้ทีมเกษตรอำเภอละงูและทีมผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งสมาชิกอบต.ละงู  ก็หวังจะผลักดันให้พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์  กับอาหารพื้นถิ่นที่ขึ้นชื่อที่มีลักษณะเฉพาะ  เพราะจะมีทานในช่วงน้ำลงและฤดูแล้งเท่านั้น 

          นางสาวมนัสนันท์   นุ่นแก้ว   เกษตรอำเภอละงู  บอกว่า  หลังจากลงพื้นที่ในครั้งนี้จะเข้ามาส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มกันส่งเสริมอาชีพ  ร่วมกันทำกิจกรรม เช่น  การอนุรักษ์สาหร่ายสายให้อยู่คู่กับลูกหลาน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์   โดยจะทำร่วมกับผู้นำท้องที่ท้องถิ่นเพื่อต่อยอด   โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอละงู

 

           นายตารอด   ใบหลำ   ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8  บอกว่า   สาหร่ายสาย  นับเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการเป็นอย่างมากและที่นี่ก็จัดเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีสาหร่ายสาย หรือ  ลาโต๊ส  เยอะที่สุดอีกหนึ่งแหล่งในจังหวัดสตูล   โดยอนาคตก็เตรียมผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์   โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมป่าโกงกางที่อุดมสมบูรณ์มาดูวิถีชีวิตของชาวบ้านในการหาสาหร่าย   ชิมกันสดๆ  ถึงอรรถรสความกรอบ  ใหม่สดของสาหร่ายชนิดนี้  ที่ชาวบ้านนาพญา  ตำบลละงู  อำเภอละงูจังหวัดสตูลพร้อมดูแล  

         

         ด้าน   กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 5 สตูล  ได้ศึกษาวิจัยการใช้  สาหร่ายสาย  หรือ  สาหร่ายขนนก  พบสรรพคุณที่โดดเด่นคือมีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งมีวิตามินที่ร่างกายต้องการ     สาหร่ายชนิดนี้จะเจริญเติบโตในที่มีคุณภาพน้ำที่สะอาดเท่านั้น   ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้รับประทานเป็นผักจิ้ม (โดยการล้างให้สะอาดก่อนนำมากิน เพราะสาหร่ายสายเมื่อถูกน้ำจืดเพียงไม่นานก็จะตายหากไม่รีบทาน )   พบในช่วงฤดูแล้งเดือนมีนาคม – พฤษภาคมและจะเริ่มลดลงเมื่อเข้าหน้าฝนในช่วงมิถุนายนถึงตุลาคม   สำหรับพื้นที่พบสาหร่ายสาย   ตามแนวชายฝั่งอำเภอท่าแพ,ละงู ,ทุ่งหว้า  เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมีลักษณะเป็นหินดินดานเป็นโคลนทราย

 

           พื้นที่ความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนนั้นพบว่า  มีคุณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ไม่ว่าจะเป็นทางตรงและทางอ้อม   สรรพสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่เข้ามาพึ่งพิงจะใช้ประโยชน์จากป่าชายเลน   ในแง่ของแหล่งอาหารที่อยู่อาศัยแหล่งหลบภัยเช่นเดียวกับสาหร่ายสาย หรือ สาหร่ายขนนก   ที่ยึดเอาป่าชายเลนเป็นเสมือนบ้านของตนเองยังคุณประโยชน์ให้แก่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น   ได้เก็บหามาบริโภคในครัวเรือน   และยังสามารถขายเพื่อเป็นรายได้จนเจอครอบครัวอีกด้วย    นับเป็นการเกื้อกูลเอื้อประโยชน์แก่กัน    ทั้งป่าชายเลน  สาหร่าย  และชาวบ้านในบริเวณนั้นประโยชน์จากสาหร่ายสาย   ชาวบ้านมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และนำไปสู่วิถีแห่งภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นได้ต่อไป

         ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 064-0456565

………………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-ชาวสตูลแห่สั่งแกงไตปลาเพื่อประกาศศักดา   เมนูยอดเยี่ยม  แนะวิธีทานไม่ใช่ซุป แม่ค้าลั่นกระแสตีกลับรับออเดอร์กันรัวๆ

สตูล-ชาวสตูลแห่สั่งแกงไตปลาเพื่อประกาศศักดา   เมนูยอดเยี่ยม  แนะวิธีทานไม่ใช่ซุป แม่ค้าลั่นกระแสตีกลับรับออเดอร์กันรัวๆ

 

        วันที่ 4 เมษายน 67  หลังต่างชาติได้จัดอันดับให้เมนูพื้นถิ่นปักษ์ใต้อย่างแกงไตปลาเป็นเมนูยอดแย่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก   ได้มีกระแสตีกลับส่งผลให้ order  หลายร้านสั่งกันรัวๆ  เพิ่มยอดขายให้กับหลายร้านค้าในพื้นที่จังหวัดสตูล 

        อย่างเช่นที่ร้านอาหารน้องเบียร์  (ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดสตูล) ตำบลพิมาน  อำเภอเมืองสตูล  ร้านอาหารเก่าแก่ ที่เปิดมานานกว่า 35 ปี ที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับอาหารพื้นถิ่นปักษ์ใต้โดยเฉพาะเมนูแกงไตปลา  มียอดสั่งรัวๆ จากลูกค้าเข้าเช้าเดียวถึง  40 ชุด  โดยสั่งเป็นกับข้าว  บ้างสั่งเป็นอาหารชุดทานกับหมูฮ้อง(เมนูพื้นที่)    บ้างก็สั่งทานกับขนมจีน  ทำให้เมนูที่ต่างชาติบอกว่าเป็นเมนูยอดแย่  แต่ในภาคใต้  กับเป็นเมนูยอดเยี่ยม และทำเงินสร้างงานให้กับหลายร้านค้า

 

        นางอุไรวรรณ  ธชพันธ์   แม่ครัวมือหนึ่งของร้านอาหารน้องเบียร์ บอกว่า  สูตรความอร่อยของแกงไตปลา  อยู่ที่เครื่องแกงและไตปลาที่ใช้ของแต่ละครัว  เหมือนอย่างที่ร้านจะใช้ไตปลาจรวด และเครื่องแกงที่ทำเองแบบสดวันต่อวัน  นอกจากนี้ส่วนผสม  เหมือนอย่างที่ร้าน  จะใส่หน่อไม้  มะเขือพวง กุ้งสดสับเพิ่มความเข้มข้นของน้ำแกงไตปลา   เนื้อปลาหางแข็งที่ผ่านการย่างให้แห้งแกะเป็นชิ้นใหญ่ๆ   แล้วนำส่วนผสมทุกอย่าง  ใส่ลงไปทันทีที่เครื่องแกงไตปลาเดือด  โดยไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเติม  เพราะแกงไตปลามีความเค็ม  มีความหวานของปลา   กุ้งสับ  และความหวานของผักที่ใส่อยู่ในตัวอยู่แล้ว 

       

        ด้านนางอจรี   ธชพันธ์   เจ้าของร้านบอกว่า   หลังการจัดอันดับให้เมนูแกงไตปลาเป็นเมนูยอดแย่ในเรื่องนี้เห็นว่า   ชาวต่างชาติอาจจะทานแกงไตปลาไม่เป็น   อาจจะทานเหมือนกับทานซุป   ตักซดเพียวๆ   ก็ทำให้รสชาติดูเหมือนแย่ได้   แต่การทานแกงไตปลาของทางภาคใต้จะต้องราดบนข้าวสวยร้อนๆ  หรือทานกับขนมจีน  หรือจะต้องมีเครื่องเคียงอย่างหมูฮ้อง  ก็ใช้ความหวานตัดรสชาติก็จะยิ่งเพิ่มความอร่อย  หรือจะเป็นไข่ต้ม  นับเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมของคนภาคใต้มากกว่าจะให้เป็นอาหารยอดแย่    

       

         และยิ่งมีการจัดอันดับให้เป็นอาหารยอดแย่ของชาวต่างชาตินั้นยิ่งทำให้มีออเดอร์สั่งอาหารเมนูแกงไตปลาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเหมือนอย่างเช่นวันนี้   มีลูกค้าสั่งเข้ามาทันที เพื่อจะยืนยันว่าเมนูแกงไตปลาเป็นอาหารยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง  หากลูกค้าท่านใดสนใจอยากชิมเมนูแกงไตปลาสูตรร้านอาหารน้องเบียร์สามารถต่อได้ที่หมายเลข  074-722-490 

………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-ร้อนนี้ปลูกอ้อยขายน้ำ   สร้างเงินเดือนแตะแสนบาท  

สตูล-ร้อนนี้ปลูกอ้อยขายน้ำ   สร้างเงินเดือนแตะแสนบาท  

          ในช่วงสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งในระยะนี้  ได้ส่งผลให้ไร่อ้อยในพื้นที่หมู่ 4 บ้านลาหงา  ตำบลละงู  อำเภอละงู จังหวัดสตูล  มีรสชาติที่หวานหอมและพร้อมจะบริโภค  สู่ตลาดที่มีความต้องการในระยะนี้เพื่อดื่มคลายร้อน

          นายเจ๊ะหยัน   ลัดเลีย  วัย 74 ปี เปิดเผยว่า  ทำมาแล้วหลายอาชีพ  ทั้งประมงและทัวร์นำเที่ยว  แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต  เมื่อหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำไร่อ้อยแม้จะเป็นอาชีพที่ไม่โดดเด่น   แต่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้  โดยตัดสินใจโค่นต้นยางพารา 7 ไร่  เพื่อปลูกอ้อยพันธุ์  สายน้ำผึ้งนานร่วม 12 ปี  ด้วยรสชาติอร่อย  หอม  หวาน  ขายได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในเดือนรอมฎอน  ยอดสั่งซื้อจะดีมากหลายเท่าตัว  

         การปลูกอ้อยสำหรับคุณลุงเจ๊ะหยัน  จะปลูกเพียงครั้งเดียวสามารถให้ผลผลิตนานถึง 7 ปี จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกับไผ่  เพียงตัดให้เหลือหน่อไว้   การดูแลให้ปุ๋ย  บำรุงดิน  และตกแต่งพันธุ์อ้อยให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์  ตรงตามความต้องการของตลาดผู้บริโภคที่นิยมซื้อเป็นลำเพื่อไปขายต่อ  และสั่งเป็นน้ำอ้อยที่คั้นสำเร็จรูปก็สร้างรายได้อย่างงามให้กับครอบครัวของคุณลุงเจ๊ะหยัน

         วิธีการเลือกต้นอ้อยที่สามารถตัดขายได้ต้องอายุ 8 เดือนขึ้นไป เลือกสีลำอ้อยที่น้ำตาลแก่เข้ม ลูกค้าจะจะมาซื้อเป็นลำวันละ 400-600 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 6 บาท หากทำเป็นน้ำอ้อยคั้นขายวันละ 200 ถุงจำหน่ายถุงละ 7 บาทหากเป็นขวดละ 10 บาท    สำหรับพื้นที่หมู่ 4 บ้านลาหงา  จะปลูกต้นอ้อยไม่น้อยกว่า  200 ไร่ เฉลี่ยเจ้าละประมาณ 3 ไร่ โดยอ้อยที่ปลูกพันธุ์สายน้ำผึ้งจะมีเปลือกที่บาง ลูกค้าจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็มาหาซื้ออ้อยจากที่นี่

          นายเจ๊ะหยัน   ลัดเลีย  วัย 74 ปี  บอกด้วยว่า   โดยอ้อยพันธุ์นี้มีรสชาติหวานหอม  ก่อนหน้านี้เคยปลูกพันธุ์สิงคโปร์ช่วงหลังๆไม่ได้รับความนิยม  การปลูกอ้อยอยู่ที่การดูแลบางคนปลูก 1 ปีหรือ 2 ปีก็ผ่านพ้นไม่ได้ตกแต่งดูแล สำหรับของป๊ะดูแลพันธุ์อ้อยเพียงครั้งเดียวสามารถอยู่ได้ 6-7 ปี สร้างรายได้ปีละแสนบาท  อนาคตอยากจะกระตุ้นให้ลูกหลานเดินตามรอยแปรรูปและส่งเสริมการปลูกอ้อยเป็นสินค้า OTOP จากอ้อยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาหมู่บ้านเรา  หากสนใจติดต่อมาช่องทางเบอร์โทร 082-4283950

 

         นายวิทวัส เกษา  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 บ้านลาหงา  บอกว่า  ก่อนหน้านี้จะมีการปลูกปาล์มน้ำมัน ในช่วงนั้นต้นปาล์มยังเล็กอยู่ก็มีการนำอ้อยมาปลูกเสริม  ในช่วงแรกๆก็จะเป็นการเร่ขายภายในหมู่บ้าน  หลังจากนั้นก็มีเพื่อนบ้านต่างจังหวัดเข้ามาซื้อ  วันละหลายตัน  ในขณะนั้นก็จะมีเพียง 5-6 เจ้าเท่านั้น แล้วปัจจุบันก็มีหลายร้อยไร่  ตอนนี้ 10 กว่าเจ้าภายในหมู่บ้านขายตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำขายน้ำอ้อย 

 

          นางสาวมนัสนันท์   นุ่นแก้ว  เกษตรอำเภอละงู  บอกว่า  จากลงพื้นที่ทางสำนักงานเกษตรอำเภอละงูจะเข้ามาช่วยผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย  สำหรับพื้นที่ตรงนี้  หมู่ที่ 4 บ้านลาหงา  มีการปลูกอ้อยร้อยกว่าไร่ กับเกษตรกร 20 กว่าราย  จะผลักดันให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อจดวิสาหกิจชุมชนโดยทางเกษตรอำเภอละงู  จะเข้ามาส่งเสริมในเรื่องของการบริหารจัดการกลุ่ม  การแปรรูป  เท่าที่ดูกลุ่มนี้ก็มีการแปรรูปเบื้องต้น ทั้งแปรรูปเป็นน้ำอ้อย และน้ำตาลอ้อย อาจจะมีการต่อยอดให้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น

………………………………..

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล สืบทอดขนมโบราณ “ลอเป๊ะ” จากรุ่นคุณยายขายดีช่วงรอมฎอน เด็กรุ่นใหม่ชื่นชอบ

สตูล สืบทอดขนมโบราณ “ลอเป๊ะ” จากรุ่นคุณยายขายดีช่วงรอมฎอน เด็กรุ่นใหม่ชื่นชอบ

          ขนมโบราณพื้นบ้านอย่าง  ขนมลอเป๊ะ  ขนมตาล และหม้อแกงต่างๆ  ต้องปรับราคาขึ้น  เนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาล ไข่ และข้าวเหนียว พุ่งสูงขึ้น  ทำให้ร้านค้าต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

          แม้วัตถุดิบหลายอย่างปรับราคาขึ้น  แต่ทางร้านในพื้นที่จังหวัดสตูลยังคงทำขนมพื้นบ้าน  ขายในห้วงเดือนรอมฎอน  หรือเดือนถือศีลอดของชาวไทยอิสลาม  อย่างขนมลอเป๊ะ  หรือ ขนมลูเป๊ะ  ที่ใช้ข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบหลัก คลุกกับมะพร้าวทึนทึกไปทางอ่อน  ทานกับน้ำตาลอ้อย   รสชาติอร่อย  เป็นหนึ่งเมนูขนมที่ขายดี  และเป็นขนมที่หลายคนคิดถึง   

          นางมาเรีย นาคบรรพต อายุ 30 ปี เจ้าของร้าน “กระจิ๊กandหวาชา” กล่าวว่า  ทำขนมไทยพื้นบ้านมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยาย   โดยเฉพาะ “ขนมลอเป๊ะ”  ขนมไทยโบราณที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินโดนีเซีย โดยคนไทยที่ไปทำงานที่อินโดนีเซียนำวัฒนธรรมขนม  เข้ามาประยุกต์ให้เข้ากับพื้นที่จังหวัดสตูล  โดยส่วนผสมมีข้าวเหนียว 100%  กวนกับน้ำปูนหรือน้ำด่าง ก่อนนำมาห่อด้วยใบตอง  นำไปต้มประมาณ 45 นาที เมื่อต้มเสร็จพักให้เย็นนำมาตัดเป็นแว่น คลุกกับมะพร้าว  ตัวข้าวเหนียวจะมีรสชาติจืดๆ  ทานด้วยน้ำตาลอ้อยที่นำมาเคี่ยวราดลงไป  ก็จะหวานลงตัวพอดี  เป็นขนมที่ถือว่าโบราณมากๆ  คุณแม่บอกว่าทำตั้งแต่รุ่นโต๊ะ หรือคุณยาย  เป็นขนมที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้เลย  เมื่อก่อนจะหากินได้เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น  แต่ตอนนี้ก็มีวางขายตามปกติทั่วไปแล้วในช่วงเช้าของคนจังหวัดสตูลด้วย

            นอกจากขนม ลอเป๊ะ ที่เป็นต้นตำรับแล้วยังมีขนมอื่นๆอีกด้วย  ไม่ว่าจะเป็นหม้อแกงถั่ว  หม้อแกงไข่ และข้าวเหนียวสังขยา  นี่ก็เป็นขนมที่อยู่ในช่วงเทศกาล   ปกติขายกล่องละ 10 บาท  แต่ตอนนี้ต้องปรับขึ้นเป็น 12 บาท   ส่วนราคาส่งจาก 8 บาท  ปรับเป็น 10 บาท   สาเหตุหลักมาจากราคาวัตถุดิบ เช่น น้ำตาลทราย จากเดิมกิโลกรัมละ 21 บาท  ขึ้นเป็น 30 บาท  ไข่ไก่ จากแผงละ 90 กว่าบาท  ขึ้นเป็น 117 บาท  และข้าวเหนียว จากกิโลกรัมละ 25 บาท  ขึ้นเป็น 34-35 บาท  ทำให้รายได้ลดลง จากเดิมขายได้วันละ 4,000 บาท  เหลือเพียง 600-700 บาท 

            ด้านนายอนัญลักษณ์  สุขเสนา  ลูกค้าคนรุ่นใหม่  กล่าวหลังได้ชิมขนมว่า  ขนมลอเป๊ะนี้มีความแน่นของข้าวเหนียว  เมื่อได้กินคู่กับน้ำตาล  และมะพร้าวที่คลุกมากับข้าวเหนียว  จะให้ความรู้สึกว่าเคี่ยวเพลิน  มีความเค็มเล็กๆของมะพร้าว ตัดกับน้ำหวาน  จากใจเด็กรุ่นใหม่ คิดว่าขนมชนิดนี้จะเป็นขนมทานเล่นระหว่างวันได้เลย  และยอมรับว่าเพิ่งเคยทานที่นี่เป็นครั้งแรก  ก็ติดใจ  เคี่ยวเพลิน สามารถทานได้เรื่อยๆ

           ปัจจุบัน  ทางร้านเน้นรับออเดอร์ออนไลน์ และฝากขายที่ร้านลูกชิ้นซอย 17 ต.พิมาน อ.เมือง  จ.สตูล เพียงร้านเดียว   จากเดิมที่เคยฝากขาย 10 ร้าน   เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี   ทำให้บางร้านต้องเลิกขาย    สำหรับลูกค้าที่สนใจ  สามารถติดต่อร้าน “กระจิ๊กandหวาชา”   ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 080-545-5196   Line @0805455196   หรือ Facebook : maria nbpt

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

  สตูล-เร่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนชิม แตงโมริมทะเลแหลมสน ที่หวานฉ่ำกรอบ หน้าสวนขายเพียงกก.ละ 10-12 บาท หลังแตงโมหลายพื้นที่ออกมาตีตลาด    

สตูลเร่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนชิม แตงโมริมทะเลแหลมสน ที่หวานฉ่ำกรอบ หน้าสวนขายเพียงกก.ละ 10-12 บาท หลังแตงโมหลายพื้นที่ออกมาตีตลาด

          หลังว่างเว้นจากการออกเรือประมงและทำนาข้าว  ชาวบ้านริมชายทะเลหมู่ที่ 3 ตำบลแหลมสน อำเภอละงู จังหวัดสตูล  จะลงมือปลูกแตงโมพันธุ์  เมย์ย่า และ โบอิ้ง  ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมของตลาด  และเหมาะสมกับการปลูกในพื้นที่   เนื่องจากที่นี่มีสภาพเป็นดินทรายน้ำไม่ขัง  มีความเป็นกรดและด่าง  มีแคลเซียมจากเปลือกหอย  จึงทำให้แตงโมแหลมสนมีความหวาน  กรอบอร่อย  และขึ้นชื่อมาอย่างยาวนาน

 

         แตงโมแหลมสน  จะปลูกปีละ 2 ครั้ง บนพื้นที่ 200 ไร่  มีเกษตรกรปลูกมากถึง 60 ราย  โดยภายใน 60 วัน  ที่นี่จะเต็มไปด้วยแตงโม เฉลี่ยผลผลิต 2.5 ตัน/ไร่ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร  30,000 บาท/ไร่   จากราคาที่จำหน่ายหน้าสวน 10 – 12 บาท/กิโลกรัม

 

          นายวัชระ  ติ้งโหยบ   อายุ 51 ปี  เกษตรกรหมอดินอาสา  ปลูกแตงโมแหลมสน  บอกว่า  ในช่วงแล้งเกษตรกรจะปลูกในระบบบ่อน้ำตื้น  และระบบน้ำหยดที่ให้ปุ๋ยไปพร้อมกับการปล่อยน้ำ  รดสวนแตงโม  เป็นปุ๋ยเคมีกับปุ๋ยอินทรีย์  ใช้เวลาปลูกเพียง 60 วัน  ก็เก็บผลผลิตได้  ในช่วงแล้งนี้ก็จะประสบปัญหาเรื่องแมลงเพลี้ยไฟ  เพลี้ยอ่อน  ที่เข้ามาดูดน้ำเลี้ยงทำให้ผลไม่โตบ้างเหมือนกัน  อีกทั้งปัญหาแล้งที่ยาวนานไปหน่อย  แต่ก็ยังพอใจ   ราคาพออยู่ได้  แต่ไม่ดีเท่าปีก่อนที่กิโลกรัมละ 15 บาท  แต่ปีนี้เหลือเพียง  10 บาท  อยากให้ภาครัฐช่วยหาแม่ค้ามารับซื้อ  เพราะแตงโมหลายพื้นที่ออกพร้อมกัน  หลายคนหวัง  จะขายในช่วงเดือนถือศีลอด

 

         นางสาวมนัสนันท์ นุ่นแก้ว เกษตรอำเภอละงู พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอละงู ลงพื้นที่ตรวจสอบ   สวนแตงโมของเกษตรกร   ตลาด  และประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จัก  หลังพบว่าปีนี้เกษตรกรประสบปัญหาทางการตลาด  ที่มีการปลูกแตงโมพร้อม ๆ กันในหลายพื้นที่   ทำให้แม่ค้ามารับซื้อลดลง   ในการรับซื้อผลผลิตของเกษตรกร โดยได้ประสานกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ให้เข้ามารับซื้อผลผลิตเพิ่มขึ้น  หากลูกค้าท่านใดสนใจสามารถกติดต่อสอบถาม  ได้ที่เกษตรอำเภอละงู  หรือติดต่อเกษตรกรโดยตรงที่   สนใจติดต่อ 092-627  3653  พร้อมกันนี้ทางเกษตรอำเภอละงู  จะช่วยส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรได้รับมาตรฐาน GAP ด้วย

          นอกจากนี้  ที่นี่ยังมีการปลูกแตงไท  และพริกสด อีกหนึ่งแหล่งรายใหญ่ของจังหวัดสตูลด้วย

…………………………………..

 

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 ไส้ไก่ย่างกอและโบราณ  ขายมานาน 10 ปี  ไม้ละ 10 บาท อาหารละศีลอดขายดี  ยอดปัง  วันละ 200-250 ไม้     

ของถูกที่สตูล..เมนูไส้ไก่ย่างกอและโบราณ  ขายมานาน 10 ปี  ไม้ละ 10 บาท อาหารละศีลอดขายดี  ยอดปัง  วันละ 200-250 ไม้

         ตกเย็นในทุก ๆ วัน  ช่วงเดือนถือละศีลอดของพี่น้องชาวไทยมุสลิม  ในพื้นที่ตำบลพิมาน   อำเภอเมือง   จังหวัดสตูล  หนึ่งในเมนูที่หลายคนนึกถึง  ทานง่าย จ่ายคล่อง เมนูประจำถิ่นกำลังฮิตในเวลานี้  คือ เมนูไก่ย่างกอและโบราณ  ที่ขายดี ชนิดแบบย่างแทบไม่ทัน  ไม้ละ 10 บาทเท่านั้น

        โดยร้านนี้เป็นของนางสาวศิริขวัญ    มาสชรัตน์    เจ้าของร้านไก่ย่างกอและสูตรโบราณ    อยู่ในซอยนกบินหลา   ถนนสฤษดิ์ภูมินารถ  ซอย 3    ตำบลพิมาน   อำเภอเมือง   จังหวัดสตูล  ที่นี่มีไก่ย่าง  6 เมนู  ได้แก่  ไก่ย่างนมสด   ไก่ย่างเทอริยากิ   ไก่ย่างพริกไทยดำ  เนื้อโคขุนย่าง  และกำลังได้รับความชื่นชอบ  คือเมนูไส้ไก่กอและย่าง  เป็นการนำไส้ไก่ที่ทำความสะอาดอย่างดีมาคลุกกับผงขมิ้น  หอมอบอวล  ขายดีทุกเมนู  เพียงไม้ละ 10 บาท  และข้าวเหนียวห่อละ 5 บาท  โดยเฉพาะในเดือนรอมฏอน หรือ เดือนถือศีลอดพี่น้องมุสลิม จะขายดีเป็นเท่าตัวจากวันละ 100 ไม้  เพิ่มเป็น 200 ไม้ถึง 250 ไม้

           ที่นี่เป็นการทำธุรกิจในครอบครัว  คุณพ่อมีหน้าที่ย่าง  คุณแม่มีหน้าที่เสียบไม้ ส่วนคุณลูกมีหน้าที่ขาย และไปส่งตามออเดอร์  ซึ่งรับรองได้ว่าที่นี่สูตรน้ำราดอร่อยเป็นพิเศษ  เผ็ดนำเล็กน้อย เด็ก ๆก็ทานได้ โดยสูตรน้ำราด  ทำมาจากถั่วไม่ได้ใส่กะทิ  และผสมกับเครื่องแกงสูตรปัตตานีทำเอง  นอกจากนี้ทางร้านยังมี  หมี่คลุกโบราณ ผัดหมี่เบตง ในราคาชุดละ 40 บาท    เริ่มขาย ตั้งบ่าย 3 โมงเย็น  มีบริการจัดส่งตามบ้าน  โทรสอบถาม  086-966-9398 และ 088-9190-695   หรือทักเฟสส่วนตัว Sirikwan mascharat   หยุดทุกวันเสาร์และอาทิตย์

……………………………………………………………………………………………………………………….

อัพเดทล่าสุด