Categories
ข่าวทั่วไป

อบต.ฉลุง  จัดใหญ่งานเทศกาลอาหารฮาลาลตำบลฉลุง ครั้งที่ 1 ส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักสู่สากล

อบต.ฉลุง  จัดใหญ่งานเทศกาลอาหารฮาลาลตำบลฉลุง ครั้งที่ 1 ส่งเสริมและกระตุ้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยวให้เป็นที่รู้จักสู่สากล

         ที่บริเวณสระใหญ่ หลังที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลฉลุง อ.เมืองสตูล จ.สตูล นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานเปิดงานเทศกาลอาหารฮาลาลตำบลฉลุง ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยมี นายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นายพิบูลย์ รัชกิจประการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสตูล เขต 1  หัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำท้องที่ท้องถิ่น และประชาชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก

.

             โดยภายในงานประกอบด้วย การจำหน่ายสินค้าฮาลาลกว่า 100 ร้าน การจัดนิทรรศการจากหน่วยงานต่าง ๆ และออกบูทเพื่อสาธิตและชิมสินค้าขนมพื้นบ้าน ในพื้นที่จำนวน 14 หมู่บ้าน การแข่งขันการทำอาหาร(ข้าวเหนียวแกงแพะ) และยังมี การแสดงกิจกรรมต่างๆ บนเวทีตลอดทั้งการจัดงาน นอกจากนี้ยังได้มีโอกาสต้อนรับพี่น้องจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียในการมาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

.

 

             งานเทศกาลอาหารฮาลาลตำบลฉลุง ประจำปี 2568 จัดขึ้นระหว่าง วันที่ 27-29 มิถุนายน 2568 มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวของตำบลฉลุงหวัดสตูลให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปอย่างแพร่หลาย เพื่อส่งเสริมให้มีกิจกรรมจำหน่ายอาหารฮาลาลและอาหารพื้นเมืองที่สะอาด ปลอดภัย เพื่อเป็นภาพลักษณ์ แก่นักท่องเที่ยว สร้างความเชื่อมั่นในการกระตุ้นเศรษฐกิจของเมือง สามารถสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนจากการจำหน่ายอาหารและสินค้าพื้นเมือง ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมและสร้างเครือข่ายภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ในกิจกรรมการท่องเที่ยวพื้นที่จังหวัดสตูลอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนอีกด้วย

………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 สมูทตี้จำปาดะ เมนูชวนลิ้มลอง ที่สวนจูหอดตัวอย่างเกษตรกรต้นแบบ บ้านโคกมุดพัฒนา สวนจำปาดะพันธุ์ดี กำลังผลิดอกออกผล พร้อมเดินหน้าสู่พืช GI เมืองสตูล

สมูทตี้จำปาดะ เมนูชวนลิ้มลอง ที่สวนจูหอดตัวอย่างเกษตรกรต้นแบบ บ้านโคกมุดพัฒนา สวนจำปาดะพันธุ์ดี กำลังผลิดอกออกผล พร้อมเดินหน้าสู่พืช GI เมืองสตูล

         บ้านสวนจูหอด ม.6 บ้านโคกมุดพัฒนา ตำบลเกตรี (อ่านว่า  เกด-ตรี)  อำเภอเมือง จังหวัดสตูล พื้นที่ 6 ไร่ของ “นายหอด แดสา” วัย 74 ปี กำลังกลายเป็นความหวังของชุมชนและวงการเกษตรในพื้นที่ เมื่อสวนผสมของเขาซึ่งประกอบด้วย จำปาดะพันธุ์ทองเกษตร ขวัญสตูล และไร้เมล็ด กว่า 160 ต้น เริ่มให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง เตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการขึ้นทะเบียนพืชเศรษฐกิจ GI (Geographical Indication) หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดสตูล

          นายหอด  เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า  สวนแห่งนี้แต่เดิมเคยเป็นสวนยางพารา ก่อนจะตัดสินใจโค่นยางเมื่อราว 4 ปีก่อน เพื่อเปลี่ยนมาเป็นสวนผสมโดยปลูกพืชหมุนเวียนหลากหลายทั้งทุเรียนหมอนทอง 140 ต้น จำปาดะ 160 ต้น รวมถึงอ้อย กระเจี๊ยบ และพืชผักฤดูกาล เช่น แตงกวา ที่สามารถเก็บเกี่ยวขายได้วันละ 600-800 บาทในช่วงฤดูกาล

          “ปีที่แล้วจำปาดะ 5 ต้นให้ผลผลิตรวม 35 ลูก ปีนี้นับเฉพาะต้นเดียวได้ถึง 50 ลูกแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

          จำปาดะจากสวนจูหอดมี 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่  พันธุ์ขวัญสตูล เนื้อหนา กลิ่นหอมเฉพาะ  พันธุ์ทองเกษตร สีเหลืองสวย หวานละมุน  พันธุ์ไร้เมล็ด หายาก นิยมนำมาทอดหรือแปรรูป

          นางสาวนิลุบล เชื้อศรีชัย เจ้าหน้าที่เกษตรตำบลเกตรี สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสตูล ให้ข้อมูลว่า นายหอดเป็นหนึ่งในเกษตรกรรายใหญ่ที่สุดของอำเภอเมืองสตูลที่มีการปลูกจำปาดะมากที่สุด  ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารขอขึ้นทะเบียน GI ผลไม้ประจำถิ่น  อำเภอเมืองสตูล  เพื่อยกระดับผลิตผลให้มีมูลค่าเพิ่มในตลาดระดับประเทศ โดยก่อนหน้านี้สวนได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP แล้ว

          ทางเกษตรตำบลยังได้แนะนำการแปรรูปจำปาดะเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การทำ “สมูทตี้จำปาดะ”  ซึ่งให้รสชาติคล้ายไอศกรีม เมื่อผ่านการแช่แข็ง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภครุ่นใหม่ และช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในท้องถิ่น

          นายการียา  เดชสมัน  ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ้านโคกมุดพัฒนา กล่าวย้ำว่า นายหอด  คือเกษตรกรต้นแบบของชุมชน ด้วยความขยัน อดทน และมีการบริหารจัดการสวนผสมอย่างเป็นระบบ จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่ชาวบ้าน พร้อมเผยแผนต่อไปคือการรณรงค์ให้ชาวบ้านปลูกจำปาดะเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็น “พืชเศรษฐกิจประจำถิ่น” และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

          สำหรับผู้ที่สนใจผลผลิตจำปาดะแท้จากสวนจูหอด สามารถติดต่อได้ที่  หมาดกอเฉ็ม ลูกชายของนายหอด โทร. 085-117-4338  หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ เกษตรอำเภอเมืองสตูล

          จำปาดะเป็นผลไม้เนื้อสีเหลือง มีรสหวาน กลิ่นหอมเฉพาะตัว คล้ายขนุนผสมกับทุเรียน นิยมนำมาทานสด ทอด หรือแปรรูปเป็นขนมและเครื่องดื่ม เป็นอีกหนึ่งอัตลักษณ์ที่สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้  “การเกษตรไม่ใช่แค่เพาะปลูก แต่คือการเพาะความหวังให้แก่ชุมชน”

……………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 “พริกเดือยไก่ปลายสวน” ปลูกไว้ได้ลูกจบรับราชการ  อดีตสาวร้านเครื่องสำอางจับมือคู่ชีวิต ลุยเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้มั่นคงที่บ้านนาแค สตูล

“พริกเดือยไก่ปลายสวน” ปลูกไว้ได้ลูกจบรับราชการ  อดีตสาวร้านเครื่องสำอางจับมือคู่ชีวิต ลุยเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้มั่นคงที่บ้านนาแค สตูล

สตูล – จากพนักงานขายเครื่องสำอางในห้างฯ เมื่อสิบปีก่อน “นางนุชติยา ใจดี” หรือ “พี่นุช” วัย 50 ปี และสามี ได้ร่วมกันพลิกชีวิตด้วยสองมือและแรงใจ กลับคืนถิ่นบ้านเกิด ณ บ้านนาแค หมู่ 5 ตำบลคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เปลี่ยนพื้นที่สวนยาง 3 ไร่ครึ่งให้กลายเป็นแหล่งผลิตพืชอินทรีย์และพลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงครอบครัวมาอย่างมั่นคง

 

ชีวิตหลังแต่งงานทำให้พี่นุชเริ่มมองหาสิ่งที่มั่นคงกว่าเงินเดือน เขาและสามีจึงตัดสินใจหันหลังให้ชีวิตในเมือง หยิบจอบจับเสียม เรียนรู้เกษตรผสมผสานจากศูนย์ฝึกในชุมชนและจากประสบการณ์จริง จนสามารถออกแบบพื้นที่สวนได้อย่างลงตัว

 

ในสวนนี้ มีทั้งยางพาราอ่อนที่กำลังเติบโต พริกเดือยไก่ครึ่งไร่ ข้าวโพดครึ่งไร่ โหระพา แมงลัก และไผ่หวานกินชุง พร้อมแนวคิดอินทรีย์เต็มรูปแบบ ใช้น้ำหมักจากปลากับเศษกุ้ง ตามทฤษฎีนากุ้ง ไม่มีเคมี ไม่มีหนี้

 

“เราช่วยกันปลูก ช่วยกันเก็บ ตื่นเช้ามาด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน มันอาจไม่หวือหวา แต่เรามีอิสระ มีความสุข และที่สำคัญ เราเลี้ยงลูกจนเรียนจบกฎหมาย ทำงานรับราชการได้ด้วยผักพื้นบ้านพวกนี้” พี่นุชเล่าพลางยิ้ม

พริกเดือยไก่ที่ปลูกปีละครั้ง เก็บได้เกือบ 2 ตันต่อรอบ ราคาขายส่งอยู่ที่ราว 100 บาท ปลีก 150 บาท หากช่วงราคาดี เคยแตะถึง 220 บาทต่อกิโล รายได้เสริมมาจากหน่อไม้หวาน โหระพา แมงลัก ซึ่งลูกค้าหลักเป็นทั้งชาวบ้านและผู้สั่งซื้อออนไลน์ผ่าน Facebook “นุชติยา ใจดี”

 

ความได้เปรียบอีกอย่างของสวนนี้คือ ตั้งอยู่ใกล้แนวสันเขาการาคีรี พื้นที่อุดมสมบูรณ์ พืชผักเติบโตดีโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ช่วยลดต้นทุนและปลอดภัยทั้งคนกินและคนปลูก

 

พี่นุชและสามีเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “คู่ชีวิตนักสู้” ที่ไม่ยอมแพ้ต่อวิถีเมืองใหญ่ กลับมาสร้างรากฐานจากผืนดินบ้านเกิด จนกลายเป็นครอบครัวเกษตรกรที่มั่นคง

 

“เราสองคนไม่เคยคิดจะรวย แต่อยากอยู่แบบไม่ลำบาก อยากให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ใช้แรงตัวเองเลี้ยงเขามา ทุกหยดเหงื่อมีคุณค่า” พี่นุชกล่าวทิ้งท้าย

 

หากคุณกำลังท้อแท้ อยากเริ่มต้นใหม่ หรือยังไม่รู้ว่าความสุขอยู่ที่ไหน ลองกลับมามองดินที่ปลายเท้า แล้วคุณอาจพบคำตอบเหมือน “สองคนสามีภรรยา” คู่นี้

สนใจพริกพื้นบ้าน ผักอินทรีย์ หรือต้องการคำแนะนำด้านเกษตรผสมผสาน  ติดต่อ: นางนุชติยา ใจดี โทร. 084-858-4060   Facebook: นุชติยา ใจดี

         

พริกเดือยไก่ เป็นพริกพันธุ์พื้นบ้าน มีคุณลักษณะพิเศษคือ. เม็ดยาวพอประมาณ รสชาติเผ็ดร้อน และมีความหอม จึงเหมาะกับการทำเป็นเครื่องแกง

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 จากครูวิทย์…สู่เจ้าของสวนหมอนทอง!  “ภณ ลิ่มพรเจริญ” พลิกชีวิต ล้มสวนยาง ปั้นสวนทุเรียนคุณภาพแห่งสตูล พร้อมเปิดฤดูกาล 18 มิ.ย.นี้

จากครูวิทย์…สู่เจ้าของสวนหมอนทอง!  “ภณ ลิ่มพรเจริญ” พลิกชีวิต ล้มสวนยาง ปั้นสวนทุเรียนคุณภาพแห่งสตูล พร้อมเปิดฤดูกาล 18 มิ.ย.นี้

         ที่ 272 หมู่ 2 ต.ควนกาหลง อ.ควนกาหลง จ.สตูล มีชายคนหนึ่งที่กล้าฝัน และลงมือทำจริงจัง — นายภณ ลิ่มพรเจริญ วัย 52 ปี อดีตคุณครูวิทยาศาสตร์ที่ตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ล้มสวนยางเก่าบนพื้นที่ 6 ไร่ของตัวเอง เพื่อเริ่มต้นใหม่กับ “ทุเรียนหมอนทองคุณภาพสูง”

 

         “จากการสอนในห้องเรียน ผมหันมาศึกษาวิชาชีวิตนอกตำรา ใช้ประสบการณ์+ความอดทน พัฒนาสวนเองทุกขั้นตอน” นายภณเล่าด้วยแววตามุ่งมั่น

 

          เขาเลือกปลูก “หมอนทองจันทบุรี” ซึ่งใช้เวลากว่า 8 ปีในการพัฒนาสวน ผลผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี — ปีแรก 500 ลูกปีที่สอง 1,000 ลูก  ปีล่าสุดคาดทะลุ 1,500 ลูก!

           ความยากไม่ได้อยู่แค่การปลูก…แต่อยู่ที่การดูแล!  “ปลูกทุเรียนไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องแต่งกิ่ง คุมยอดอ่อน และรับมือศัตรูพืชเพียบ”  ทั้ง เพลี้ยไฟ เพลี้ยไก่แจ้ ไรแดง ฯลฯ  นายภณ ลงมือกำจัดศัตรูพืชเองทุกครั้ง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยและได้คุณภาพ

 

           จุดเด่นของสวนคือ  เนื้อแน่น เปลือกบาง กลิ่นหอมหวานมัน รสชาติกลมกล่อม จนลูกค้าประจำบอกว่า “กินแล้วหยุดไม่ได้ ต้องสั่งทุกปี!”

 

         สวนจำหน่ายทั้ง ขายปลีก-ส่ง และเปิดให้ สั่งจองล่วงหน้า ผ่าน   Facebook: Phon Limproncharoen   โทร: 065-995-1915   รับประกันคุณภาพ : หากลูกค้าพบเนื้อไม่สมบูรณ์ เคลมได้ทันที เพียงถ่ายวิดีโอส่งกลับมายืนยัน

          ฤดูกาลใหม่เริ่ม 18 มิถุนายน 2568 นี้!  ใครที่ยังไม่เคยลองทุเรียนคุณภาพจากควนกาหลง…ปีนี้อย่าพลาด

…………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ควันที่หอม…แต่แฝงด้วยพิษร้าย ทำร้ายร่างกายเด็กและเยาวชน

ควันที่หอม…แต่แฝงด้วยพิษร้าย ทำร้ายร่างกายเด็กและเยาวชน

ควันที่หอม…แต่แฝงด้วยพิษร้าย ทำร้ายร่างกายเด็กและเยาวชน

 

“ดูดแล้วเท่ ดูดแล้วสบาย” คำชวนเชื่อที่พาเด็กหลงทางโดยไม่รู้ตัว

 

ในยุคที่กลิ่นหอมหวานจาก “บุหรี่ไฟฟ้า” กลายเป็นแฟชั่นในหมู่เยาวชน หลายคนไม่รู้ว่าเบื้องหลังควันนุ่ม ๆ กลับซ่อน “สารพิษกว่า 200 ชนิด” ที่ทำลายร่างกายอย่างช้า ๆ ตั้งแต่นิโคตินที่เสพติดง่าย ไปจนถึงโลหะหนักที่กระทบสมอง ปอด และหัวใจของเด็กที่ยังเติบโตไม่เต็มที่

 

เด็กและเยาวชนจำนวนมากถูกหลอกด้วยรูปลักษณ์ล้ำสมัย กลิ่นผลไม้ กลิ่นขนม หรือแม้แต่ชื่อแบรนด์ที่ฟังดูไร้พิษภัย แต่ในความเป็นจริง บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประตูสู่การเสพติดสารนิโคติน และในหลายกรณียังพ่วงมาด้วยสารเสพติดชนิดอื่นแบบไม่รู้ตัว

 

**อันตรายของควันหอมนี้ไม่ได้หยุดแค่ในตัวผู้สูบ**

แต่ยังลามไปถึงคนรอบข้างผ่านควันมือสองและมือสาม โดยเฉพาะเด็กเล็กที่รับผลกระทบทางเดินหายใจโดยตรง

### แล้วจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร?

 

✅ **อย่าอยากลองเพราะเพื่อนชวน** – การปฏิเสธด้วยเหตุผลชัดเจน เช่น “มันไม่ดีต่อสุขภาพ” จะทำให้เพื่อนยอมรับได้มากกว่าการพูดว่า “ไม่เอา ไม่อยาก”

✅ **รู้เท่าทันโฆษณา** – ไม่เชื่อคำชวนเชื่อในโซเชียลที่พยายามทำให้บุหรี่ไฟฟ้าดูปลอดภัย

✅ **เลือกคบเพื่อนที่เสริมพลังบวก** – เพื่อนที่ไม่ชักชวนไปในทางเสี่ยง เป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

✅ **เข้าร่วมกิจกรรมสร้างสรรค์** – กีฬา ดนตรี หรือกิจกรรมจิตอาสา ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งเสพติด

✅ **หากเริ่มใช้แล้ว อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ** – โทรปรึกษาสายด่วนเลิกบุหรี่ 1600 ฟรี!

 

**บุหรี่ไฟฟ้าอาจดูทันสมัย แต่พิษภัยของมันย้อนยุคถึงอายุขัยเราทุกคน**

เด็กและเยาวชนควรได้รับการปกป้อง ไม่ใช่ถูกทดสอบด้วยควันอันตรายที่ไม่มีวันหอมจริง

…………………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 หรอยจังหู้  แกงส้มทุเรียนหมอนทอง จากเกษตกรที่ทิ้งยาง ปลูกหมอนทอง ปลูกด้วยใจ ใส่เทคนิคธรรมชาติ ลุยตลาดทุเรียนคุณภาพ ส่งขายได้กิโลละ 100 บาท

หรอยจังหู้  แกงส้มทุเรียนหมอนทอง จากเกษตกรที่ทิ้งยาง ปลูกหมอนทอง ปลูกด้วยใจ ใส่เทคนิคธรรมชาติ ลุยตลาดทุเรียนคุณภาพ ส่งขายได้กิโลละ 100 บาท

         ที่บ้านสงขลา หมู่ 5 ตำบลควนขัน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล — ปีนี้นับเป็น “ฤดูกาลทอง” ของนายณัฐกร เอียดเหตุ หรือ “พี่อ๊อด” เกษตรกรผู้กล้าตัดสินใจโค่นต้นยางพาราอายุเพียง 5 ปีในสวน เพื่อเปลี่ยนมาเดินหน้าปลูก ทุเรียนหมอนทอง บนพื้นที่ 5 ไร่ จำนวน 200 ต้น ซึ่งในปีแรกนี้ มีต้นทุเรียนกว่า 40 ต้นเริ่มให้ผลผลิต สร้างความหวังใหม่ในการทำเกษตรของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น

 

           “การปลูกทุเรียน ต้องเข้าใจธรรมชาติ ต้องใส่ใจตั้งแต่ดิน ปุ๋ย น้ำ และต้องรู้จักการโยงกิ่ง โยงลูก รับมือกับพายุด้วย” — พี่อ๊อด กล่าว

 

          การดูแลสวนทุเรียนหมอนทองของพี่อ๊อด เน้นการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น การติดแผ่นซีดีไล่ค้างคาว การโยงกิ่งเพื่อไม่ให้หักเวลาลมแรง และโยงลูกไม่ให้หล่น นอกจากนี้ยังวางระบบน้ำแบบสปริงเกอร์ พร้อมเสริมด้วย การเลี้ยงผึ้งโพรง เพื่อส่งเสริมการผสมเกสรและเพิ่มรายได้เสริม

         

          นางสาวฮาบีบ๊ะ จายุพันธ์ หรือ “ก๊ะบ๊ะ” เกษตรตำบลควนขัน กล่าวว่า พี่อ๊อดเป็นหนึ่งในสมาชิกของ กลุ่มส่งเสริมอาชีพผู้ปลูกทุเรียน ต.ควนขัน และ ต.เจ๊ะบิลัง ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกทั้งหมด 30 ราย ครอบคลุมพื้นที่รวม 130 ไร่ โดยมีเกษตรกร 8 รายที่กำลังเริ่มให้ผลผลิตรวมกว่า 20 ตัน และเตรียม ตัดขายล็อตแรกในช่วง 15-18 มิถุนายน นี้  ทุเรียนปีแรกต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ห้ามให้เกิน 54 ลูกต่อต้น เพื่อรักษาคุณภาพ

 

          นอกจากนี้ ยังมีล้งจากจังหวัดชุมพรเข้ามาติดต่อรับซื้อถึงสวน โดยราคาที่เกษตรกรได้รับคือ 100 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าสูงและน่าพอใจอย่างยิ่งในปีแรกของการผลิต

         

           ที่น่าสนใจคือ แม้ทุเรียนบางลูกจะร่วงจากพายุแรงก่อนเวลา แต่พี่อ๊อดก็ยังใช้โอกาสนี้ แปรรูปเป็นเมนูแกงส้มทุเรียนหมอนทองแก่ใส่ปลาทู ให้ทีมสื่อได้ชิม รสชาติแปลกใหม่ เข้มข้น อร่อยลงตัว เป็นอีกหนึ่งแนวทางแปรรูปเพิ่มมูลค่าที่ชาวสวนสามารถต่อยอดได้

          หากท่านสนใจเยี่ยมชมสวน หรือติดต่อซื้อผลผลิตทุเรียนหมอนทองจากสวนพี่อ๊อด  สามารถติดต่อได้ที่นายณัฐกร เอียดเหตุ โทร. 062-9516323 นางสาวฮาบีบ๊ะ จายุพันธ์ (เกษตรตำบลควนขัน) โทร. 095-0362258 > เกษตรไม่ใช่แค่เรื่องดินฟ้า แต่คือศิลปะของการใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง

…………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 “กุ้งเคยเซมเบ้” สตูลฮือฮา! เกษตรกรยุคใหม่พลิกโฉม “ของดีบ้านเรา” สู่ของฝากสุดหรู ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

สตูล-“กุ้งเคยเซมเบ้” สตูลฮือฮา! เกษตรกรยุคใหม่พลิกโฉม “ของดีบ้านเรา” สู่ของฝากสุดหรู ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

           สตูล-ชื่นชมไอเดียสุดปัง! ที่ศูนย์เรียนรู้บ้านท่าแลหลา ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล กลุ่มแม่บ้านแปรรูปผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลและผู้นำชุมชน ผนึกกำลังนำ “กุ้งเคย” วัตถุดิบพื้นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ในท้องที่ มายกระดับด้วยนวัตกรรมการแปรรูป จากเดิมที่คุ้นเคยกับ “กะปิท่าแลหลา” สู่ผลิตภัณฑ์ใหม่สุดว้าวอย่าง “เซมเบ้กุ้งเคย” “ผงโรยข้าวกุ้งเคย” และ “กุ้งเคยหวาน” ชูภาพลักษณ์ “ของฝากสวยหรูดูแพง” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

          ต่อยอดภูมิปัญญา สู่สินค้าพรีเมียม โดยกรมประมง  โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง ที่ได้นำความรู้และเทคโนโลยีการแปรรูปมาถ่ายทอดให้กับชาวบ้าน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “แพ็กเกจจิ้งที่สวยงาม” เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความหลากหลายให้กับสินค้า โดยเฉพาะเมนู “เซมเบ้กุ้งเคย” ที่เป็นไฮไลต์ของการอบรมในครั้งนี้

          สูตรเด็ด “เซมเบ้กุ้งเคย” ทำง่าย ได้จริง  ภายในงาน ผู้เชี่ยวชาญได้สาธิตและเปิดโอกาสให้กลุ่มเกษตรกรได้ลงมือทำเอง สร้างความตื่นเต้นและประทับใจเป็นอย่างมาก ด้วยสูตรที่ทำง่ายและสามารถต่อยอดได้จริง “เซมเบ้กุ้งเคย” มีส่วนผสมหลักคือ กุ้งเคยล้างน้ำ 70 กรัม, แป้งสาลี 40 กรัม, แป้งมัน 20 กรัม, น้ำ 20 กรัม, น้ำตาล 4 กรัม, น้ำมันพืช 5 กรัม และผงฟู 10 กรัม

         

         ขั้นตอนการทำก็ง่ายแสนง่าย: เพียงนำกุ้งเคยแช่น้ำ 10 นาที เทน้ำออกแล้วล้างผ่านน้ำ ผสมกับส่วนผสมทั้งหมด นวดให้เข้ากัน ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดประมาณ 5 กรัม ทับให้เป็นแผ่นด้วยเครื่องทำขนมอบกรอบแผ่น อบที่อุณหภูมิ 160-180 องศาเซลเซียส นาน 2 นาที ก็จะได้แผ่นเซมเบ้กุ้งเคยสีเหลืองทอง กรอบอร่อยน่ารับประทาน ที่สำคัญ กลุ่มแม่บ้านยังสามารถปรุงแต่งเพิ่มเติมด้วยสาหร่ายหรือส่วนผสมอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติและความสวยงามได้ตามใจชอบ

 

         “กุ้งเคยตาดำ” ท่าแลหลา วัตถุดิบคุณภาพ 73 ปีแห่งวิถีชีวิต  นายกัมพล รายา ประธานกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลบ้านท่าแลหลา (โทร. 086-969-2819) เล่าว่า ตลอด 73 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านท่าแลหลาสร้างอาชีพจากการออกหากุ้งเคยด้วยเรือขนาดเล็ก กุ้งเคยที่นี่มีมากตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน แม้ปริมาณจะลดลง 50% แต่หลังจากนั้นก็จะมีกุ้งเคยตลอด ซึ่งกุ้งเคยที่นี่คือ “กุ้งเคยตาดำ” ที่สำคัญคือ “ไม่มีทรายเจือปน” เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นดินโคลน จึงหมดปัญหากังวลเรื่องทราย

         นายกัมพล  กล่าวด้วยความดีใจว่า การอบรมครั้งนี้เป็นการต่อยอดที่สำคัญ เพิ่มสินค้าให้กับเกษตรกร สร้างมูลค่าให้กับกุ้งเคยจากเดิมที่แปรรูปเป็นเพียง “กะปิ” เท่านั้น (กะปิท่าแลหลา เพจ: กะปิท่าแลหรา ราคาครึ่งกิโล 80 บาท, 1 กิโล 160 บาท ส่วนผสม: เคย 90%, น้ำตาล 4%, เกลือ 6%)

 

          การทำเป็นขนมที่ทำง่าย กินง่าย สามารถเป็นของฝากของขวัญได้ ถือเป็นโอกาสใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น  ประมงจังหวัดสตูลชี้ “การตลาด” คือหัวใจ  ด้านนายนิพนธ์ เสนอินทร์  ประมงจังหวัดสตูล ระบุว่า การอบรมเพิ่มมูลค่าสินค้าประมงอย่างกุ้งเคยของชาวบ้านท่าแลหลา อ.ละงู ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าประมงให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกจากความรู้ด้านการแปรรูปจากกรมประมงแล้ว ยังได้เชิญบริษัทประชารัฐ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดสำคัญ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำสินค้าไปสู่ตลาดภายนอกได้ เป็นการจับคู่ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับบริษัทผู้ซื้อ เพื่อให้สินค้าท้องถิ่นเป็นที่รู้จักและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

……….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 จัดเบรกให้ปัง! สตูลปั้นมืออาชีพสายจัดอาหารว่าง เติมเทคนิคโซเชียล สร้างอาชีพยุคใหม่

จัดเบรกให้ปัง! สตูลปั้นมืออาชีพสายจัดอาหารว่าง เติมเทคนิคโซเชียล สร้างอาชีพยุคใหม่

          วันที่ 21 พฤษภาคม 2568  ณ  ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ชั้น 4 อำเภอเมือง จังหวัดสตูล  ได้จัดอบรม “กิจกรรมการเตรียมอาหารว่างและเครื่องดื่มสำหรับงานประชุม/อบรมอย่างมืออาชีพ” ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มอาชีพ ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อยกระดับผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ก้าวสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะการจับตลาด “งานอบรม – งานราชการ” ที่มีความต้องการสูงและต่อเนื่อง

 

          การอบรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายทวีศักดิ์  แก้วสลำ  รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกว่า 40 ราย ได้แก่ ผู้ประกอบการ OTOP วิสาหกิจชุมชน ร้านค้า และประชาชนผู้สนใจทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่จากเรือนจำและผู้มีบทบาทในการฝึกอาชีพแก่ผู้ต้องขัง โดยมี สถาบัน CDC Training Center และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารว่างจาก มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ร่วมถ่ายทอดความรู้แบบจัดเต็ม

ตอบโจทย์อาชีพยุคโซเชียล – โอกาสใหม่หลังวิกฤตเศรษฐกิจ

ในยุคที่เศรษฐกิจชายแดนซบเซา การท่องเที่ยวไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และกำลังซื้อของประชาชนลดลง อาชีพเล็ก ๆ อย่าง “จัดเบรกประชุม” จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางรอดที่มั่นคง เพราะกิจกรรมอบรม สัมมนา หรืออีเวนต์ราชการยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และมีงบสนับสนุนชัดเจน

 

นางสาวอินทิรา ไพรัตน์  (วิทยากร) ให้สัมภาษณ์ว่า “โฮมสเตย์ของเรามีบริการอาหารเช้าอยู่แล้ว  การมาฝึกอบรมครั้งนี้ช่วยให้เราเพิ่มมูลค่าด้วยการจัดจานสวยๆ แล้วโพสต์ลงโซเชียล เรียกลูกค้าได้มากขึ้นแน่นอน”

 

อีกมุมหนึ่งจากผู้ฝึกอาชีพในเรือนจำ นางสาวชนัญชิดา   พราหมแผลง  เจ้าพนักงานอบรมฯ จากเรือนจำสตูล เผยว่า “ได้เทคนิคใหม่ ๆ เพียบเลย จะนำกลับไปต่อยอดฝึกให้ผู้ต้องขังหญิง เพื่อให้พวกเขามีทักษะอาชีพติดตัวก่อนออกสู่สังคม”

 

ขณะที่ นางรัชนี  เด่นกาญจนศักดิ์ เจ้าของร้านชาชักเจ้าดัง  “เตอบิลัง”  ก็เสริมว่า “การทำอาหารให้น่ากินไม่ใช่แค่รสชาติ แต่ต้องสื่อสารผ่านภาพถ่ายให้ดูดีด้วย ยุคนี้ลูกค้าซื้อด้วยตา และแชร์ต่อในโซเชียล โครงการแบบนี้ดีมาก อยากให้มีต่อเนื่อง”

 

หลักสูตร “จัดเบรกให้ปัง” ยกระดับมืออาชีพ – เพิ่มยอดขายด้วยมือถือ

          การอบรมไม่เพียงสอนเรื่องความสะอาด มาตรฐานการบริการ และการเลือกอาหารว่างที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ โดย อินทิรา ไพรัตน์ วิทยากรจาก CDC Training Center ได้เน้นย้ำว่า “เราสอนวิธีจัดเบรกให้น่าทาน ถ่ายรูปให้ออกมาดูน่ากิน เทคนิคถ่ายภาพง่าย ๆ ด้วยมือถือก็ช่วยเพิ่มยอดขายได้ พร้อมทั้งสอนเรื่องการจัดอุปกรณ์ตกแต่ง เพิ่มความหรูหราให้กับชุดเบรก โดยไม่ต้องลงทุนสูง”

 

 กิจกรรมในวันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการพัฒนาอาชีพที่ทันสมัยและตอบโจทย์ยุคโซเชียลอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่มีอาชีพ แต่ต้องรู้จักเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วย “ทักษะการนำเสนอ” ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขายในยุคนี้

 

ทั้งนี้ โครงการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มอาชีพ ประจำปี 2568 ยังวางแผนขยายกิจกรรมในลักษณะเดียวกันไปยังกลุ่มอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสตูลสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง มีรายได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน

……………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 เห็ดนางฟ้า…พาเปลี่ยนชีวิต จากครูสู่วิสาหกิจชุมชน บ้านทางยางสตูล สร้างรายได้มั่นคง–แบ่งปันโอกาสให้ชุมชน

สตูล- เห็ดนางฟ้า…พาเปลี่ยนชีวิต จากครูสู่วิสาหกิจชุมชน บ้านทางยางสตูล สร้างรายได้มั่นคง–แบ่งปันโอกาสให้ชุมชน

             บ้านทางยาง หมู่ 7 ตำบลสาคร อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล พื้นที่ที่เงียบสงบถูกปลุกให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยแรงบันดาลใจของ “ครูจิสน  มัจฉา” อดีตครูผู้เบนเข็มชีวิตมาสู่การทำเกษตรเต็มตัว สร้าง ฟาร์มเห็ดนางฟ้า จากก้อนเชื้อ 85 ก้อนแรกในหม้อนึ่งลูกทุ่ง สู่วิสาหกิจชุมชนที่ผลิตก้อนเห็ดมากถึง 7,000 ก้อนต่อรอบ ก่อเกิดรายได้และการจ้างงานให้ชุมชนในทุกฤดูกาล

 

             ครูจิสน  มัจฉา  ประธานกลุ่มทางยางบ้านเห็ด บอกว่า  อยากหาทางเลือกให้ครอบครัวมีรายได้เสริม เห็นเห็ดนางฟ้าก็รู้สึกว่าใช่… เริ่มทำจากของเล็ก ๆ ที่เราชอบ พอทำจริง ๆ มันกลายเป็นรายได้หลักเลยค่ะ  สาเหตุที่เลือกเห็ดนางฟ้าเพราะสามารถขายได้ทั้งก้อนเห็ด  ดอกเห็ด และก้อนที่หมดอายุสามารถไปทำปุ๋ยได้

 

            ครูจิสน. เริ่มเพาะเห็ดจากความสนใจส่วนตัว ใช้หม้อนึ่งฟืนแบบพื้นบ้าน วันละ 6–8 ชั่วโมงต่อ 85 ก้อน ผ่านมาเกือบสิบปี เธอพัฒนาเทคนิคและเครื่องมือการผลิตจนกลายเป็นฟาร์มต้นแบบ ใช้หม้อนึ่งระบบไอน้ำที่รองรับได้มากถึง 780 ก้อนต่อครั้ง ลดการใช้ไม้ฟืน เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน “ทางยางบ้านเห็ด” อย่างเป็นทางการในปี 2560

 

ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิก 10 ราย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันและประมงในพื้นที่. ที่หันมาปลูกเห็ดเสริมอาชีพ  โดย กลุ่มมีการใช้นวัตกรรม ได้แก่ เครื่องผสม, เครื่องอัดก้อน, เตานึ่งระบบไอน้ำ ช่วยให้การผลิตก้อนเชื้อเห็ดรวดเร็ว มีมาตรฐาน และปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

สินค้าหลักของกลุ่ม ได้แก่

  • ก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้า (10 บาท/ก้อน) ผลิตปีละ 4–5 รอบ รวมกว่า 28,000 ก้อน
  • ดอกเห็ดสด (60 บาท/กก.) ส่งตลาดละงู โรงเรียน และตัวแทนจำหน่าย
  • ผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น
  • น้ำพริกเห็ดนางฟ้า
  • เห็ดทอดกรอบรสลาบ
  • เห็ดปาปิก้า และสูตรดั้งเดิม

 

ขายดีทั้งตลาดสดและออนไลน์ สร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละกว่า 30,000 บาท (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) ไม่รวมแปรรูปเห็ด

           สำหรับ เห็ดก้อนเชื้อหนึ่งก้อนสามารถเก็บผลผลิตได้นานถึง 5 เดือน เมื่อหมดอายุยังสามารถนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์ ใช้ในแปลงเกษตรของชุมชน

 

          “สำนักงานเกษตรอำเภอท่าแพ  ได้สนับสนุนกลุ่มนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เรื่องเทคโนโลยี การจัดการ การหาตลาด จนกลายเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่น ๆ ได้เห็นว่า…ถ้าเราพร้อมลงมือทำ เกษตรก็สร้างอาชีพที่มั่นคงได้จริง ๆ”

 

          นายอารีย์  โส๊ะสันสะ  เกษตรอำเภอท่าแพ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ ในอนาคตกลุ่มเตรียมขยายการเพาะเห็ดพันธุ์ใหม่ เช่น เห็ดมิลกี้ พร้อมวางระบบโรงเรือนควบคุมอุณหภูมิ สร้างแบรนด์ท้องถิ่น จดทะเบียนสินค้า และเพิ่มช่องทางตลาดในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

 

          สำหรับเกษตรกรที่มองหาอาชีพเสริม  เดี๋ยวนี้ก็จะมีพืชเป็นพืชเศรษฐกิจอยู่หลายๆ ตัวอย่างเช่นสละ , กาแฟ.  แล้วก็เห็ด  เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย แล้วถ้าสามารถ ทำได้ตั้งแต่ขั้นตอนในการผลิตก้อนเอง และก็ในการเปิดออกจำหน่ายเองตรงนี้เขาจะมีกำไรค่อนข้างดี

 

         ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมและศึกษาดูงานได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทางยางบ้านเห็ด  เลขที่ 22 หมู่ 7 ตำบลสาคร อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล 91150. เพจ: บ้านไร่ภูภัทรโทร. 087-091-6176

 

         จากแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ของอดีตครูท้องถิ่น… สู่วิสาหกิจชุมชนที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจของคนบ้านทางยาง

…….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

เครือข่ายควบคุมยาสูบภาคใต้รวมพลัง “คนใต้ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” สร้างกระแสวันงดสูบบุหรี่โลก ชู “นิโคติน เสพติด จน ตาย”

สตูล-เครือข่ายควบคุมยาสูบภาคใต้รวมพลัง “คนใต้ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” สร้างกระแสวันงดสูบบุหรี่โลก ชู “นิโคติน เสพติด จน ตาย”

วันที่ 17 พฤษภาคม 2568   นักข่าวจังหวัดสตูลเข้าร่วม  กิจกรรมรณรงค์สร้างกระแส     “วันงดสูบบุหรี่โลก 2568 : คนภาคใต้ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” โดยเครือข่ายควบคุมยาสูบภาคใต้รวมพลัง จัดขึ้นเพื่อให้เกิดการสื่อสารสร้างกระแสในระดับพื้นที่ให้กว้างขวาง ให้มีความรู้ ตระหนักถึงโทษและพิษภัยการเสพติดนิโคตินของบุหรี่ไฟฟ้า นำโดย สมาคมสื่อชุมชนภาคใต้นครศรีธรรมราช  ร่วมกับมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่, เครือข่ายยุวทัศน์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตสังคมและสิ่งแวดล้อม และภาคีเครือข่ายจังหวัดนครศรีธรรมราช  สนับสนุนโดย  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

นางวจิราพร  อมาตยกุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช  ประธานในการเปิดงานกล่าวว่า  การระดมสรรพกำลังทุกภาคส่วนในจังหวัดภาคใต้ โดยร่วมกันรณรงค์สร้างกระแสป้องกันการเข้าถึงบุหรี่  บุหรี่ไฟฟ้ากับกลุ่มเด็กและเยาวชนถือเป็นวาระแห่งชาติ  เพราะปัญหาการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสุขภาพของประชาชน  โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน   อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการเร่งปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง เพื่อปกป้องประชาชน โดยเฉพาะเยาวชนของชาติ จากพิษภัยของการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้า  ทั้งนี้ปัญหาการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในภาคใต้ยังคงเป็นเรื่องที่น่าห่วงใย จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติล่าสุด พ.ศ.2567 พบว่า ภาคใต้มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดในประเทศ อยู่ที่ร้อยละ 22.1 โดยเฉพาะในจังหวัดกระบี่ มีอัตราการสูบบุหรี่สูงที่สุดคือ ร้อยละ 27.1  รองลงมาคือจังหวัดนครศรีธรรมราช ร้อยละ 25.59,  ระนอง  ร้อยละ 25.53,พัทลุง ร้อยละ 24.06, ปัตตานี ร้อยละ 23.93 และตรัง ร้อยละ 23.49 ตามลำดับ  ซึ่งมีอัตราการสูบบุหรี่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ

นอกจากนี้ การสำรวจในนักเรียนมัธยมศึกษาภาคใต้ของกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข  พบว่า ร้อยละ 14.5 เคยใช้บุหรี่ไฟฟ้า โดยนักเรียนชายมีอัตราการใช้สูงกว่านักเรียนหญิงอย่างมีนัยสำคัญ  สถานการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นในการเร่งรณรงค์และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับพิษภัยของการเสพติดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า  การจัดกิจกรรมในวันนี้  ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีและชื่นชมเป็นอย่างยิ่งที่ภาคีเครือข่ายควบคุมยาสูบภาคใต้ และอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคประชาสังคม  ร่วมกันสร้างกระแสรณรงค์ให้เกิดการรับรู้และปลุกจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงพิษภัยอันตรายของการเสพติดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า และถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญในการเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และแรงบันดาลใจให้กับทุกภาคส่วน ร่วมรณรงค์อย่างต่อเนื่องและเข้มแข็ง รวมถึงส่งเสริมให้เกิดสังคมปลอดบุหรี่ในภาคใต้ของเราอย่างยั่งยืน  นางวจิราพร  กล่าว  

          ขณะที่ นายพิทยา จินาวัฒน์  คณะกรรมการบริหารแผนคณะที่ 1 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า บทบาทของ สสส. ซึ่งมีหน้าที่ริเริ่ม ผลักดัน กระตุ้น สนับสนุน และร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ในการขับเคลื่อน กระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อให้บรรลุผลในการลดอัตราการเจ็บป่วยและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร กระตุ้นให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความเชื่อ และการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ให้เอื้อต่อคุณภาพชีวิต ช่วยลดภาระทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ  ซึ่งปัญหาการคุกคามของบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า  ถือเป็นสงครามที่ยากจะเอาชนะได้ ต้องเกิดจากการรวมพลังกันทุกภาคส่วนที่ร่วมใจรวมพลังกันต่อสู้เหมือนงานในวันนี้ ซึ่งการทำสงครามกับบุหรี่  สมรภูมิเปลี่ยนไปหมดแล้ว เนื่องจากการ disrupt ของเทคโนโลยี สิ่งที่ทำให้เปลี่ยนคือ การมาของบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะความน่าเป็นห่วงในกลุ่มเป้าหมายใหม่ คือ เพศหญิง กำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้น  จะเห็นว่าตอนนี้ผู้หญิงไทยสูบบุหรี่มวนร้อยละ 1.3 แต่เยาวชนที่เป็นผู้หญิง พบว่าสูบบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ถึงร้อยละ 15  และหากบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย จะเป็นการเพิ่มอัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าของเยาวชนหญิงสูงเพิ่มไปถึง 30-40% เลยที่เดียว ดังนั้น ถ้ามีความร่วมมือกันในทุกฝ่าย ทุกภาคีเครือข่าย นอกจากนั้น ยังต้องอาศัยความร่วมมือการสื่อสารกับอินฟลูเอนเซอร์ที่จะช่วยสื่อสารกับสังคมได้รับรู้ เราต้องใช้ทุกช่องทางและทุกกระบวนในการสื่อสาร  เพื่อปกป้องลูกหลานไทยให้รอดพ้นจากการเสพติดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า นายพิทยา กล่าว

          ด้านนายอานนท์ มีศรี นายกสมาคมสื่อชุมชนภาคใต้นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า กิจกรรมสร้างกระแส  “วันงดสูบบุหรี่โลก 2568: คนภาคใต้ไม่เอาบุหรี่ไฟฟ้า” ในครั้งนี้ องค์การอนามัยโลกกำหนดประเด็นการรณรงค์ว่า “Unmasking the Appeal: Exposing Industry Tactics on Tobacco and Nicotine Products”  ประเทศไทยโดยกระทรวงสาธารณสุข จึงใช้ภาษาไทยในการสื่อสารรณรงค์สร้างกระแสว่า “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า: นิโคติน เสพติด จน ตาย”  เพื่อให้ประชาชนตระหนักรู้และร่วมกันเปิดโปงกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมยาสูบที่มุ่งเป้าทำการตลาดเพื่อดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มเด็กและเยาวชนให้เสพติดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า  ในโอกาสนี้ เพื่อให้เกิดการสื่อสารสร้างกระแสในระดับพื้นที่ให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้น  และเพื่อเชิญชวนชาวใต้ทุกภาคส่วน ร่วมกันสื่อสารและแสดงเจตจำนงในการร่วมกันปกป้องและคุ้มครองสุขภาพของคนใต้  โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนชาวใต้  ให้ปลอดพ้นจากการเสพติดบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า  รวมถึงเพื่อสื่อสารให้ภาคีเครือข่ายด้านการควบคุมยาสูบ ได้มีความรู้ ความเข้าใจต่ออันตรายของบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า  และกลยุทธ์ของบริษัทบุหรี่  

         โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นในวันนี้ ได้รับความร่วมมือจาก หลายภาคส่วน  ได้แก่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช, แผนกเวชกรรมสังคม  คลินิกฟ้าใส โรงพยาบาลพระพรหม จังหวัดนครศรีธรรมราช,  สมาคมสื่อชุมชนภาคใต้นครศรีธรรมราช,  เครือข่ายยุวทัศน์เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม,   เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปลอดบุหรี่ โดย องค์การบริหารส่วนตำบลน้ำผุด จ.ตรัง,   เครือข่ายครูเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่ โดย จุดจัดการเพื่อโรงเรียนปลอดบุหรี่จังหวัดปัตตานี, เครือข่ายเยาวชน Gen Z Gen Strong เลือกไม่สูบภาคใต้,  เครือข่ายศูนย์พัฒนาเด็กเล็กฯ Gen Alpha โดย โรงเรียนอนุบาลและศูนย์พัฒนาเด็ก อบต.กะไหล อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา,   เครือข่ายองค์กรงดเหล้าภาคใต้ตอนบน เครือข่ายนักสื่อสารรุ่นใหม่ และ ศูนย์สร้างสรรค์สื่อเพื่อเด็กเยาวชนและครอบครัว  ได้ร่วมกันออกบูธนิทรรศการ ให้ความรู้ทางด้านวิชาการ,  แจกสื่อประชาสัมพันธ์,  เล่นเกม แจกของที่ระลึก/รางวัล,  บริการตรวจสุขภาพ  และให้คำปรึกษาการเลิกบุหรี่ บุหรี่ไฟฟ้า  โดยกิจกรรมทั้งหมดจัดขึ้น ณ ลานวัฒนธรรมสวนศรีธรรมาโศกราช อ.เมือง   จ.นครศรีธรรมราช  ระหว่างเวลา 16.30-20.00 น. นายอานนท์ กล่าว

……………………………

อัพเดทล่าสุด