Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 ขนม”จูจอ” สานสัมพันธ์ชุมชน ฟื้นชีวิตขนมโบราณควนสตอ

ขนม“จูจอ” สานสัมพันธ์ชุมชน ฟื้นชีวิตขนมโบราณควนสตอ

          ที่อบต.ควนสตอ อ.ควนโดน จ.สตูล  ความร่วมแรงร่วมใจของแม่บ้าน 30 คน  จากหลากหมู่บ้านใน ตำบลควนสตอ วันนี้ได้รวมตัวกันสืบสานวัฒนธรรมการทำขนมโบราณ  เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานบุญที่กำลังจะถึง โดยมี “นางฮาหยาด  เกปัน” วัย 67 ปี ปราชญ์ชาวบ้านผู้เป็นเจ้าของสูตรขนม “จูจอ” หรือ “ดอกบัว” นำทีมในการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น

         การรวมตัวครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นการทำขนมเพื่องานบุญ 300 โต๊ะ หากยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์และสานต่อวัฒนธรรมอันดีงามของชุมชน พวกเขาได้ร่วมกันผลิตขนมหลากชนิด อาทิ ขนมโค กล้วยหยำ และจูจอ รวมทั้งสิ้น 12 กิโลกรัม หรือประมาณ 1,200 ชิ้น

          สูตรลับของขนม “จูจอ” ประกอบด้วยแป้งสาลี 1 กิโลกรัม  แป้งข้าวเจ้าครึ่งกิโลกรัม  น้ำตาลทรายขาว 8 กรัม น้ำตาลอ้อย 2 กรัม และเกลือเล็กน้อย ขั้นตอนการทำต้องอาศัยความชำนาญ โดยเฉพาะการหยอดแป้งทอดให้เป็นรูปดอกไม้ และค่อยๆ ปรุงไฟให้สุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

          ขนมจูจอกลายเป็นของขึ้นชื่อประจำตลาดเช้า นิยมทานคู่กับโกปี้อ้อและชาเย็น ราคาเริ่มต้นเพียง 3-5 บาท สะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวใต้มุสลิมที่เรียบง่ายแต่ทรงคุณค่า

         การอนุรักษ์และสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมผ่านขนมโบราณเช่นนี้  นับเป็นพลังสำคัญในการเชื่อมโยงคนในชุมชน สร้างความภาคภูมิใจ และถ่ายทอดภูมิปัญญาสู่คนรุ่นต่อไป

……..

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 จากพนักงานบริษัทสู่เจ้าของกิจการ  “ขนมครกไส้โคตรทะลัก” สร้างรายได้วันละ 2,000 บาท

จากพนักงานบริษัทสู่เจ้าของกิจการ  “ขนมครกไส้โคตรทะลัก” สร้างรายได้วันละ 2,000 บาท

          ที่ตลาดรอมฎอน  ต.ฉลุง  อ.เมือง  จ.สตูล  นางสาวฐิติภัทร โลณะปาลวงษ์ อายุ 36 ปี เจ้าของร้าน “ขนมครกไส้โคตรทะลัก” เล่าให้ฟังถึงเส้นทางการเปลี่ยนชีวิตจากพนักงานบริษัทในแผนกซีพี สู่การเป็นผู้ประกอบการขนมไทยที่มีรายได้วันละ 2,000 บาท จากขนมครกเพียง 3 กิโลกรัมต่อวัน

 

          นางสาวฐิติภัทรเล่าว่า “เริ่มต้นจากการตั้งครรภ์ลูกคนที่สอง และความชอบส่วนตัวในการขายของ” “ดิฉันได้ศึกษาการทำขนมครกจากช่องทางออนไลน์ แล้วทดลองทำด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูกจนได้สูตรที่ลงตัวอย่างทุกวันนี้”

 

          โดยความพิเศษของขนมครกร้านนี้อยู่ที่การใช้แป้งข้าวไรซ์เบอร์รี่ ผสมกับน้ำกะทิคุณภาพดี ทำให้ได้เนื้อขนมที่นุ่ม หอม ไม่แข็งกระด้าง โดยเมื่อทำแป้งเสร็จแล้วจะเติมหัวกะทิอีกครั้ง และตามด้วยไส้ที่หลากหลายถึง 4 ชนิด ได้แก่:  – ไส้ฟักทอง  – ไส้มันม่วง  – ไส้ข้าวโพด  – ไส้เผือก

 

         “ความลับอยู่ที่เราใส่ใจในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การผสมแป้ง และการทำไส้ที่สด ใหม่ทุกวัน หวานพอดี มันจากหัวกะทิ ไม่ใช้วัตถุกันเสีย” คุณฐิติภัทรกล่าว

 

         ด้วยประสบการณ์จากการทำงานในบริษัท คุณฐิติภัทรได้นำความรู้ด้านการตลาดมาปรับใช้กับธุรกิจขนมครก จัดแคมเปญ “ซื้อขนมครก 20 บาท แถมคูปอง 1 ใบ” เมื่อสะสมครบ 10 ใบ สามารถแลกขนมครกฟรี 1 กล่อง  

          “การทำแคมเปญนี้ช่วยเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เพราะลูกค้าอยากได้คูปองมากๆ จึงซื้อในปริมาณมากขึ้น และในเดือนนี้มีลูกค้าไม่น้อยกว่า 3 รายแล้วที่มาแลกขนมฟรีจากการสะสมแต้ม” คุณฐิติภัทรกล่าวด้วยรอยยิ้ม

              ความอร่อยของขนมครกไส้โคตรทะลักไม่เพียงเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าทั่วไป แต่ยังได้รับการยอมรับจากนายกเทศมนตรีตำบลฉลุง  และผู้รับสัมปทานตลาดที่ยอมรับว่า “ขนมครกเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยม เป็นอาหารว่าง อาหารแก้บวชของพี่น้องชาวไทยมุสลิม”

 

           สำหรับเวลาเปิดให้บริการ  ในเดือนรอมฎอน  ตั้งแต่เวลา  13.00-18.00 น.  เดือนปกติ เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น. ที่สามแยกฉลุง  สนใจสั่งขนมครกไส้โคตรทะลัก สามารถติดต่อได้ที่ 099-304-2659

 

     “จากความฝันเล็กๆ สู่ความสำเร็จวันนี้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงไหนของชีวิต ก็สามารถเริ่มต้นทำธุรกิจได้ ขอเพียงมีใจรัก ตั้งใจ และลงมือทำอย่างจริงจัง” คุณฐิติภัทรทิ้งท้าย

…………………………………..

Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 แม่บ้านสตูลสร้างรายได้จากขนมโบราณ ‘โกยเปต’ สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกว่า 20 ปี

แม่บ้านสตูลสร้างรายได้จากขนมโบราณ ‘โกยเปต’ สืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นกว่า 20 ปี

          ที่หมู่บ้านเขาน้อยใต้ หมู่ 12 ตำบลฉลุง อำเภอเมือง จังหวัดสตูล นางฝาตีม๊ะ ดาหมาด อายุ 58 ปี พร้อมด้วยญาติพี่น้องในครอบครัวกำลังเร่งมือทำขนมโบราณที่เรียกว่า “โกยเปต” หรือ “ขนมทองพับ” เพื่อให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า โดยเฉพาะในช่วงใกล้เทศกาลฮารีรายาของพี่น้องชาวไทยมุสลิม

         

         ขนมโกยเปตที่นี่มีเอกลักษณ์พิเศษด้วยการใช้สูตรโบราณและวิธีการทำแบบดั้งเดิม โดยใช้เตาถ่านในการย่าง ซึ่งช่วยเพิ่มความหอมให้กับขนม ทำให้มีรสชาติที่แตกต่างและน่ารับประทานยิ่งขึ้น

 

          “เริ่มจากทำกินในครอบครัว แล้วค่อยพัฒนามาเป็นอาชีพ” นางฝาตีม๊ะเล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจขนมโกยเปตที่ดำเนินมากว่า 20 ปี จนเป็นที่รู้จักในนาม “โกยเปตมะหลง” 

 

          ส่วนผสมหลักของขนมโกยเปตประกอบด้วย แป้งข้าวเจ้า กะทิ น้ำตาล และไข่ไก่ โดยหนึ่งกระปุกจะบรรจุประมาณ 70 แผ่น กำลังการผลิตอยู่ที่วันละ 3-4 กิโลกรัม หรือประมาณ 7 กระปุก โดย 1 กิโลกรัมจะใช้มะพร้าวถึง 4 ลูกและไข่ไก่.  ซึ่งทางร้านเน้นทั้งคุณภาพและปริมาณ

 

          วิธีการทำขนมโกยเปตมีเคล็ดลับอยู่ที่การสังเกตสีของแป้ง หลังจากวางแท่นพิมพ์ลงบนเตาถ่าน ให้รอจนแป้งที่อยู่รอบขอบแท่นพิมพ์เปลี่ยนเป็นสีเหลือง แล้วจึงรีบยกขึ้นมาพับเป็นรูปสี่เหลี่ยมทันที จะได้ขนมที่มีสีเหลืองสวย แบน และง่ายต่อการบรรจุลงกล่อง

 

          ขนมโกยเปตของนางฝาตีม๊ะ  เป็นที่นิยมอย่างมากในช่วงเทศกาลฮารีรายา  เนื่องจากทุกบ้านจะต้องซื้อไว้รับรองแขกที่มาเยี่ยมเยียน  แต่ทางร้านยังคงเปิดขายตลอดทั้งปี ทำให้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับของฝากหรือของขวัญในโอกาสพิเศษต่างๆ

          ด้านนายสุจริต  ยามาสา  นายก อบต.ฉลุง ยอมรับว่าขนมร้านของนางฝาตีม๊ะ  มีความอร่อยและรักษาคุณภาพของอาหารได้อย่างยอดเยี่ยมจนเป็นที่ขึ้นชื่อ แต่สิ่งที่ต้องการพัฒนาต่อไปคือเรื่องของตราสินค้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งทาง อบต. จะเข้ามาช่วยหนุนเสริมในส่วนนี้ เพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า นอกจากนี้ ทางองค์การบริหารส่วนตำบลยังจะช่วยส่งเสริมการขายผ่านช่องทางต่างๆ และสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่ม เพื่อให้ภาครัฐสามารถเข้ามาช่วยเหลือได้มากขึ้น

 

          สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อขนมโกยเปตได้ในราคากระปุกใหญ่ และกระปุกเล็ก

Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 11 ปีแห่งตำนานไก่ย่างกอและโบราณไม้ละ 5 บาท  อร่อยเท่าเดิม ราคาคงเดิม ท่ามกลางค่าครองชีพพุ่ง

11 ปีแห่งตำนานไก่ย่างกอและโบราณไม้ละ 5 บาท  อร่อยเท่าเดิม ราคาคงเดิม ท่ามกลางค่าครองชีพพุ่ง

          ในยุคที่ราคาอาหารถีบตัวสูงขึ้น มีร้านเล็กๆ ริมคลอง(เอวหัก)  ม.7 ซอยทรายทอง  ทต.คลองขุด อ.เมืองสตูล แห่งหนึ่งที่ยังคงยืนหยัดขายไก่ย่างไม้ละ 5 บาทมาเนิ่นนานถึง 11 ปี “ร้านสามพี่น้องริมคลองเอวหัก” ของคุณอัญชลี บิลเต๊ะ หรือที่ลูกค้ารู้จักกันในนาม “น้องกิ๊ก” วัย 38 ปี คือตัวอย่างของความมุ่งมั่นที่หาได้ยากในปัจจุบัน

 

         “ขายราคานี้ลูกค้าอยู่ได้ เราก็อยู่ได้” คือคำพูดติดปากของคุณอัญชลี ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้อส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้าประจำ และนักเรียน อีกทั้งเป็นผู้ซึ่งใช้อาชีพขายไก่ย่างเลี้ยงดูครอบครัว 6 ชีวิต รวมลูกอีก 4 คน โดยทางร้านเปิดให้บริการวันละสองรอบ ช่วงเช้าตั้งแต่ 06.00-09.00 น. และช่วงบ่ายตั้งแต่ 15.00-18.00 น. (และหยุดทุกวันเสาร์)  ยกเว้นช่วงเดือนรอมฎอนที่จะเปิดขายตอน 14.00 น. ทุกวันไม่มีวันหยุด

 

          เมนูยอดนิยมของทางร้านคือ “ไก่ย่างสามรส” ในราคาเพียงไม้ละ 5 บาท และ “ไก่กอและ” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “ไก่แดงโบราณ” ในราคาไม้ละ 10 บาท พร้อมข้าวเหนียวห่อละ 5 บาท โดยทั้งหมดมีหอมกระเทียมเจียวโรยหน้าให้เพิ่มความหอม

             คุณอัญชลี  เล่าว่า น้ำราดไก่กอและสุดพิเศษใช้สูตรจากพี่เขยที่จังหวัดตรัง มีส่วนผสมของเครื่องแกง ถั่วลิสง พริกแห้ง ผสมแป้งข้าวโพดเล็กน้อย น้ำตาลทราย และเกลือ ทำให้ได้รสชาติที่หวาน มัน เค็ม และเผ็ดเล็กน้อย ที่สำคัญคือทำสดใหม่ทุกวัน

 

          ทางร้านปรับตัวเข้ากับเทศกาลรอมฎอนด้วยการเพิ่มเครื่องดื่มหลากหลายชนิด ทั้งน้ำพุทรา น้ำกระเจี๊ยบ โอเลี้ยง ชาดำเย็น และน้ำลิ้นจี่ ในราคาเพียงถุงละ 10 บาท

 

          ทุกวันคุณอัญชลีจะเตรียมไก่ย่างวันละประมาณ 10 กิโลกรัม แบ่งเป็นช่วงเช้า 5 กิโลกรัม (ซึ่ง 1 กิโลกรัมสามารถแบ่งได้ประมาณ 60 ไม้ ) โดยชิ้นส่วนที่ขายดีที่สุดคือหนังไก่และเนื้อสะโพก

 

           ป้ายิ้ม ลูกค้าประจำของร้าน กล่าวว่า “ซื้อที่ร้านนี้เป็นประจำเพราะรสชาติอร่อย ราคาถูก ซื้อประจำทั้งเช้าและเย็น”

 

           หากใครสนใจอยากลิ้มลองไก่ย่างราคาประหยัดที่คงราคาเดิมมานานถึง 11 ปี สามารถไปอุดหนุนได้ที่ “ร้านสามพี่น้องริมคลอง” ตั้งอยู่ที่ซอยเอวหัก ริมคลอง. หรือทรายทอง หมู่ 7 เขตเทศบาลตำบลคลองขุดอำเภอเมืองสตูล หรือติดต่อคุณอัญชลีได้ที่ 065-015-0955

…………

Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 เกษตรกรสตูลปลูก “ขมิ้นแดงสยาม-ขมิ้นตรัง” แปรรูปด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สร้างมูลค่าเพิ่มสมุนไพรไทย

เกษตรกรสตูลปลูก “ขมิ้นแดงสยาม-ขมิ้นตรัง” แปรรูปด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ สร้างมูลค่าเพิ่มสมุนไพรไทย

            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จังหวัดสตูลยกระดับการเกษตรสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่อำเภอควนโดนปลูกขมิ้นแดงสยามและขมิ้นตรัง พร้อมพัฒนาการแปรรูปด้วยเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสมุนไพรท้องถิ่น ตอบสนองความต้องการตลาดที่เพิ่มขึ้น

             นางวรรณนภา คงเคว็จ เกษตรอำเภอควนโดน พร้อมเจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอควนโดน และนายสมยศ จิตเที่ยง นายอำเภอควนโดน ร่วมกับ ผศ.กิติศักดิ์ ชุมทอง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการปลูกขมิ้นแดงสยามของกลุ่มเกษตรกรในอำเภอควนโดน ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตเพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรหลากหลายชนิด

           นายเจ๊ะมูสอด สามารถ อายุ 73 ปี เจ้าของพื้นที่ปลูกขมิ้นแดงสยามในพื้นที่หมู่ที่ 10 ตำบลควนโดน เปิดเผยว่า ตนได้เริ่มปลูกขมิ้นในพื้นที่ 1 ไร่ 2 งาน ซึ่งสามารถจำหน่ายขมิ้นแดงสยามในราคา 21 บาทต่อกิโลกรัม โดยเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวประมาณ 2-3 เดือน ขมิ้นจะถูกขุดขึ้นมาและทำความสะอาดเพื่อเตรียมแปรรูป ทั้งนี้ การปลูกในกระสอบปุ๋ยและวงล้อรถยนต์ช่วยให้เก็บเกี่ยวผลผลิตได้สะดวกมากขึ้น

          ด้านนางสายฝน นุ่งอาหลี อีกหนึ่งเกษตรกรผู้ปลูกขมิ้นในวงล้อ และลงดิน ที่ปลูกพื้นที่หมู่ที่ 8 ตำบลควนสะตอ ได้ขยายพื้นที่ปลูกขมิ้นถึง 5 ไร่ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้น

         โดยนางสายฝน นุ่งอาหลี  กล่าวว่า  ปลูกขมิ้นทำรายได้เลี้ยงกลุ่มและครอบครัวได้ดี เป็นที่ต้องการที่จะนำไปเป็นสมุนไพรทางการแพทย์ จึงไม่เพียงพอต่อการผลิตแปรรูป รวมทั้งการปลูกขมิ้นใช้พื้นที่น้อยข้างบ้านก็ปลูกได้ ในกระสอบ วงล้อก็ทำได้

           ทางด้านนายฮูสรี  หีมมะหมัด นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร สำนักงานเกษตรอำเภอควนโดน กล่าวว่า  ได้ให้การสนับสนุนโดยส่งเสริมการแปรรูปขมิ้นด้วยเทคโนโลยีการตากแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต และนำไปสู่การผลิตผลิตภัณฑ์สมุนไพรหลายชนิด เช่น ลูกประคบสมุนไพรราคา 60 บาท น้ำมันเหลืองราคา 80 บาท และยาดมราคา 35 บาท

           นายสมยศ จิตเที่ยง นายอำเภอควนโดน กล่าวว่า “การแปรรูปขมิ้นเป็นสมุนไพรถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเกษตรกรในพื้นที่ ซึ่งไม่เพียงแค่สร้างรายได้ แต่ยังเป็นการสนับสนุนการใช้สมุนไพรเพื่อสุขภาพ ขมิ้นที่ผลิตในพื้นที่มีคุณภาพสูงและส่งไปยังโรงพยาบาลในพื้นที่เพื่อการรักษาผู้ป่วย แต่ขณะนี้ผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงอยากให้เกษตรกรหันมาปลูกขมิ้นเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับตลาดที่กำลังเติบโต”

          ทั้งนี้ โครงการส่งเสริมการปลูกขมิ้นแดงสยามและขมิ้นตรังในพื้นที่อำเภอควนโดน ถือเป็นตัวอย่างของการพัฒนาเกษตรกรรมที่ยั่งยืน ใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและพลังงานสะอาด สร้างความมั่นคงทางอาชีพให้กับเกษตรกรในพื้นที่ และตอบสนองต่อความต้องการผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน

………………………………………………………

Categories
ท่องเที่ยว-กีฬา เกษตร - อาชีพ

“กะน๊ะปลาส้ม” ความอร่อยที่มาพร้อมกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง

สตูล- “กะน๊ะปลาส้ม” ความอร่อยที่มาพร้อมกลิ่นหอมชวนลิ้มลอง

          ร้าน “กะน๊ะปลาส้ม” โดดเด่นด้วยเมนูยำปลาส้มพร้อมทานที่มาพร้อมมะนาว หัวหอมแดง พริกทอด และใบมะกรูดทอด ในราคาเพียงชุดละ 50 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้าในท้องถิ่น

         นางกนิษฐา รับไทรทอง เจ้าของร้าน เผยเคล็ดลับความอร่อยว่า “การทอดปลาส้มต้องใช้ไฟอ่อน เพื่อให้ได้สีเหลืองทองและความกรอบที่กำลังดี” เธอเลือกใช้ปลาจีนในการทำปลาส้มเพราะให้เนื้อที่หอมนุ่มและเนื้อเยอะ โดยทำการผลิตครั้งละ 50 กิโลกรัม ซึ่งสามารถขายหมดภายในเวลาเพียง 2 วัน  สร้างรายได้  2000 -3000  ต่อครั้ง

         วิธีทำปลาส้มของกะน๊ะ  จะเลือกใช้ปลาจีน โดยจะสั่งซื้อจากจังหวัดข้างเคียง  ส่วนปลานิลจะรับซื้อจากบ่อของชาวบ้านในพื้นที่บ้านหัวทาง  ชุมชนท่านายเนาว์  และพื้นที่อำเภอละงู  ซึ่งเป็นการอุดหนุนชาวบ้านด้วย  เมื่อได้ปลามาแล้ว  จากนั้นนำล้างให้สะอาด  หมักเกลือ 1 คืน  ใส่ข้าวเหนียวกับกระเทียม 3 คืน  รสชาติกำลังพอดีพร้อมขาย  เจ้าของร้าน กล่าว

         นอกจากปลาส้มที่เป็นเมนูขึ้นชื่อแล้ว ทางร้านยังได้เพิ่มเมนูใหม่อย่าง “แหนมปีกไก่ทอด” เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า

 

         ด้านน้องแจม หรือ นางสาวจันทิมา ดาหมาน หนึ่งในลูกค้าประจำ กล่าวว่า “ปลาส้มที่นี่อร่อยมาก รสชาติไม่ส้มจนเกินไป พอได้ลองครั้งแรกก็ติดใจ จนต้องกลับมาซื้อซ้ำ โดยเฉพาะราคาที่จับต้องได้”

         ท่านที่สนใจสามารถพบกับร้าน “กะน๊ะปลาส้ม” ได้ที่ :  – ตลาด ธกส. ทุกวันศุกร์   – ตลาดเกษตร ทุกวันพุธ  – ตลาดประชารัฐที่บิ๊กซี ทุกวันพฤหัสบดีและวันเสาร์   และในช่วงวันที่ 19-25 มกราคม 2568 ร้านจะไปร่วมงานมหกรรมอาหารจานเด็ด ที่ถนนเลี่ยงเมืองบายพาส ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล

 

         สนใจสั่งซื้อสามารถติดต่อได้ที่ โทร. 098-3452799  ด้วยสโลแกนที่ว่า “ทอดหอม ทานอร่อย กลิ่นจะมาก่อน ลูกค้าจะมาตามกลิ่น” ร้านกะน๊ะปลาส้มได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นร้านอาหารพื้นบ้านที่คุ้มค่าแก่การลิ้มลอง

…………………………………

Categories
ท่องเที่ยว-กีฬา เกษตร - อาชีพ

สตูล-ลูกค้าแห่ซื้อซุปพุงวัวรสเด็ดชั่งกิโลขาย   เส้นทางความสำเร็จของ ‘บังเอ็ม’ ผู้สร้างรายได้หลักหมื่นต่อวัน

สตูล-ลูกค้าแห่ซื้อซุปพุงวัวรสเด็ดชั่งกิโลขาย   เส้นทางความสำเร็จของ ‘บังเอ็ม’ ผู้สร้างรายได้หลักหมื่นต่อวัน

              ความสำเร็จไม่เคยหอมหวานเท่ากลิ่นซุปพุงวัวที่ต้มด้วยฟืน  เกือบทุกตลาดนัด  ที่จะมีลูกค้ามายืนห้อมล้อมกระทะ 2 ใบใหญ่  เพื่อตักชิ้นส่วนของซุปพุงวัวที่ตนชื่นชอบได้ตามสบาย   ร้านของ  นายอิบรอเฮ็ม อารีหมาน หรือที่รู้จักกันในนาม “บังเอ็ม” เจ้าของตำรับซุปพุงวัวรสเลิศ  ที่ครองใจลูกค้ามานานกว่า 5 ปี เผยเคล็ดลับความสำเร็จที่ทำให้ธุรกิจเติบโตจนสร้างรายได้วันละหลักหมื่นบาท

 

            ด้วยสูตรพิเศษที่ผสมผสานสมุนไพรไทยอย่างลงตัว ทั้งหอม กระเทียมเจียว ส้มขามแขก และใบชะมวง พร้อมเทคนิคการต้มด้วยไม้ฟืน  ที่ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง  ทำให้เนื้อนุ่มเปื่อย หอมกรุ่น ปราศจากกลิ่นคาว จากนั้นใช้แก๊สมาอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง  ในช่วงตระเวนขายในตลาดนัด   จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ลูกค้าติดใจ  ตักเลือกชิ้นส่วนของพุงวัว  ที่ชื่นชอบได้ตามสบาย โดยจะมีกิโลเป็นเครื่องวัดราคาในการขาย

            “เคล็ดลับอยู่ที่การแยกน้ำต้ม” บังเอ็มเล่าถึงวิธีการทำที่พิถีพิถัน “น้ำต้มครั้งแรกเราทิ้งหมด แล้วใช้น้ำใหม่มาปรุงรส ทำให้ซุปใส สะอาด  ไม่คาว และอร่อย” ทุกครั้งที่ลูกค้าเลือกชิ้นส่วนของพุงวัวได้ตามใจชอบแล้ว จะนำมาปรุงเพิ่มด้วยถั่วงอก กระเทียมเจียว มะนาว พริกสดตามความชื่นชอบให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัว นิ่มละมุนลิ้น ในราคาที่คุณเลือกได้

 

           ปัจจุบัน ร้านซุปพุงวัวบังเอ็มเปิดขายทั้งในตลาดนัดและงานต่างๆ ทั่วจังหวัด ด้วยราคาเริ่มต้นที่กรัมละ 35 บาท หรือกิโลกรัมละ 350 บาท โดยในช่วงเดือนรอมฎอนยอดขายพุ่งสูงถึงวันละ 100 กิโลกรัม

           “ความสำเร็จไม่ได้มาง่ายๆ ต้องทุ่มเทและใส่ใจในทุกขั้นตอน” บังเอ็มทิ้งท้าย พร้อมเชิญชวนผู้สนใจลิ้มลองซุปพุงวัวรสเด็ดได้ :

– วันอังคาร: ที่ตลาดนัดบ้านควน – วันพุธ: ที่หลาดนัดเปิดท้ายกัมปงฆัวร์ (15:00-20:00 น.)

– วันพฤหัสบดี: ที่ตลาดปากแรดท่าแพ

– วันศุกร์: ที่ตลาดท่าแพ 

– วันเสาร์: ที่ตลาดหาดราไวย์

– วันอาทิตย์: ที่ตลาดควนเก  หรือ 

สนใจสั่งซื้อหรือสอบถามเพิ่มเติม โทร. 088-385 5580

…………………………………………

Categories
ท่องเที่ยว-กีฬา เกษตร - อาชีพ

สตูลเปิดแล้ว! ตลาดนัดกัมปงฆัวร์  แลนด์มาร์คใหม่ริมคลอง    ตลาดนัดริมน้ำสไตล์มุสลิม กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

สตูลเปิดแล้ว! ตลาดนัดกัมปงฆัวร์  แลนด์มาร์คใหม่ริมคลอง    ตลาดนัดริมน้ำสไตล์มุสลิม กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน

            ชุมชนตำบลบ้านควนสร้างปรากฏการณ์ใหม่ด้วยการรวมตัวของพ่อค้าแม่ค้ากว่า 100 ร้านค้า เปิดตลาดชุมชนภายใต้ชื่อ “ตลาดนัดเปิดท้ายกัมปงฆัวร์” บริเวณริมคลองชลประทาน หมู่ 5 ตำบลบ้านควน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนและสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น

 

          ตลาดแห่งนี้โดดเด่นด้วยสินค้าพื้นเมืองหลากหลายชนิด อาทิ   ขนมอาปมบาเละ ซึ่งมีลักษณะคล้ายขนมถังแตก แต่มีขนาดเล็กกว่าและเนื้อแป้งนุ่มกว่า   เครื่องในวัวพร้อมทานที่จำหน่ายเป็นกิโล   หอยกะพงต้ม  และสินค้าอีกมากมายให้เลือกอิ่มอร่อย

 

        นอกจากการจับจ่ายใช้สอย ยังได้สัมผัสวิถีพื้นบ้านมุสลิมที่อาศัย ริมคลองชลประทาน  และให้ครอบครัวได้ใช้เวลาด้วยกันด้วย  เพราะที่ตลาดนี้ยังมีรถรางให้น้องๆหนูๆได้นั่งเพลินๆ  มีสะพานลิงข้ามคลองชลประทาน  และมีมุมระบายสีปูนปั้นเสริมสร้างจินตนาการให้เด็กๆระหว่างที่คุณพ่อคุณแม่ไปช็อปสินค้าด้วย

 

            ด้าน นายกูดานัน หลังจิ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านควน กล่าวว่า “ตลาดนัดเปิดท้ายกัมปงฆัวร์เกิดจากการรวมตัวของพี่น้องประชาชน พ่อค้าแม่ค้าแผงลอย และรถพ่วง เมื่อเห็นความสุขของชาวบ้านในการค้าขายและจับจ่ายซื้อของ ทาง อบต.บ้านควนจึงพร้อมสนับสนุนการพัฒนาตลาดแห่งนี้ให้เป็นแหล่งจับจ่ายที่สำคัญในอนาคต โดยเฉพาะการส่งเสริมอาหารพื้นบ้านของตำบลบ้านควนจากหลายหมู่บ้าน ซึ่งเป็นอาหารที่คนในชุมชนบริโภคเป็นประจำ”

 

         ตลาดเปิดทุกวันพุธ เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป  มีผู้ค้า 80-100 ราย  ตั้งอยู่ริมคลองชลประทาน ระยะทาง 500 เมตร

……………………………………..

Categories
ท่องเที่ยว-กีฬา เกษตร - อาชีพ

สตูลเปิดประสบการณ์ใหม่ใช้หลอดดูด กินเตี๋ยวบ้านโต๊ะ สูตรสืบทอดจากคุณยาย

สตูลเปิดประสบการณ์ใหม่ใช้หลอดดูด กินเตี๋ยวบ้านโต๊ะ สูตรสืบทอดจากคุณยาย

          สำหรับท่านที่ชื่นชอบทานเนื้อ  ต้องไม่พลาดร้าน เตี๋ยวบ้านโต๊ะ  ร้านที่คัดสรรเนื้อคุณภาพมาเสิร์ฟให้ลูกค้า  โดยปรุงหลากหลายเมนู  โดยเฉพาะเมนูก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น    และที่เป็นไฮไลท์ของทางร้าน  ก็คือ  เมนูเกียร์บ็อกซ์  เป็นเมนูปรุงพิเศษสำหรับลูกค้า   นอกจากนั้นยังมีเมนู  ก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋น ตับทอดกระเทียม   ไส้อ่อนทอดกระเทียม  และอีกหลากหลายให้เลือกอิ่มอร่อย  รวมถึงเมนูของหวานอย่าง ทับทิมกรอบ  ข้าวเหนียวดำ

 

         นางสาวรัศมี  หมาดสุเรน  เจ้าของร้านเตี๋ยวบ้านโต๊ะ  กล่าวว่า  ตัวเองเรียนบริหารธุรกิจ  ส่วนคุณน้ามีฝีมือในการทำอาหาร  จึงจุดประกายที่จะทำร้านอาหาร  เพราะว่าชอบทำอาหารให้ญาติพี่น้องกิน  และมีคนชมว่าอร่อยก็อยากสร้างรายได้เสริมให้กับครอบครัวญาติพี่น้อง  จึงเป็นที่มาของการทำก๋วยเตี๋ยวบ้านโต๊ะ   และได้ตั้งชื่อว่าเตี๋ยวบ้านโต๊ะ  เพราะเป็นบ้านของคุณยาย พวกเราระลึกถึงคุณยายเพราะคุณยายทำอาหารเก่ง  รสมือคุณยายใครๆ ก็ชม    เรา 2 คนจึงมีไอเดียที่จะร่วมมือกันทำภายใต้ concept ทำก๋วยเตี๋ยวให้ได้รสชาติของเนื้อแท้ๆ โดยคัดสรรเนื้อคุณภาพ  ใช้เนื้อสดโดยรับซื้อจากโรงเชือดโดยตรง   น้ำซุปก็ใช้กระดูกแทนผลผงชูรสเป็นที่มาของเกียร์ บ็อก  เราใช้กระดูกเยอะ  เรามีกระดูกหากไม่ได้เสิร์ฟกระดูกให้ลูกค้าก็จะเสียดาย  และกระดูกส่วนนั้นก็มีความอร่อย  หากินยากจึงนำเสนอเกียร์ Box ผลตอบรับโอเค

          ความอร่อยของเป็นส่วนเนื้อผสมกับเอ็น  มีไขมันแต่ไม่เชิงว่ามีไขมันมาก  ความอร่อยอีกอันนึงคือด้านไหนของกระดูกจะมีข้อไขมันเหมือนคอลลาเจน  ลูกค้าจะกินโดยการใช้หลอดดูด  ตอนนี้ทางร้านมีเมนูเพิ่มขึ้นมาก็คือ  ข้าวซอย ข้าวซอยของทางร้านจะปรับให้เข้ากับคนใต้  จะใส่เครื่องเทศที่เป็นของคนใต้  ที่มีรสชาติจัดจ้านมีความเข้มข้นขึ้น  เจ้าของร้านกล่าว.

           ร้านเตี๋ยวบ้านโต๊ะ  เปิดทุกวัน  ปิดวันอังคาร   เริ่มขายตั้งแต่เวลา 10.30  น.  ถึง 18.00 น.   พิกัดร้าน  ตั้งอยู่ตรงข้าม ร.ร.ดารุลญันนะฮ. ฉลุงใต้ ต.ฉลุง  อ.เมือง  จ.สตูล 

         “เตี๋ยวบ้านโต๊ะ” จากร้านอาหารเล็กๆ สู่ความสำเร็จด้วยสูตรอาหารที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เตี๋ยวบ้านโต๊ะ ไม่เพียงเสิร์ฟอาหารรสเลิศ แต่ยังเสิร์ฟความอบอุ่นแบบครอบครัวให้กับทุกคนที่แวะเวียนมาเยือน

Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

“โตเกียว แอนด์ บาและ” สูตรดั้งเดิมจากแม่สู่ลูก

“โตเกียว แอนด์ บาและ” สูตรดั้งเดิมจากแม่สู่ลูก​​​​​​​​​

          ขนมไทยพื้นบ้านยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ “ขนมบาและ” ขนมหวานที่คล้ายขนมถังแตกแต่มีขนาดเล็กกว่า ซึ่งร้าน “โตเกียว แอนด์ บาและ” ของ นางสาวดารีน ดำท่าคลอง วัย 34 ปี ได้สืบทอดสูตรจากคุณแม่ที่ทำขายมานานกว่า 10 ปี

 

         นางสาวดารีน เล่าว่า ได้แยกสาขามาเปิดร้านของตัวเองเป็นเวลา 2 ปีแล้ว โดยใช้แป้งวันละ 3-4 กิโลกรัม ขนมบาและมีให้เลือกหลากหลายไส้ ทั้งสังขยา ถั่ว มะพร้าวอ่อนน้ำหอม และข้าวโพด จำหน่ายในราคา 3 ชิ้น 20 บาท นอกจากนี้ยังมีขนมโตเกียวไส้คาวราคาชิ้นละ 5 บาท มีทั้งไส้กรอก ปูอัด ไก่หยอง และไข่นก ส่วนไส้หวานราคา 2 บาท มีให้เลือกทั้งคัสตาร์ดและสตรอเบอร์รี่

 

         ด้านนายอับดุลรอศักดิ์  ปันดีกา หนึ่งในลูกค้าประจำ กล่าวว่า ขนมบาและของร้านนี้อร่อย เนื้อแป้งนุ่ม และมีไส้ให้เลือกหลากหลาย

 

        สำหรับผู้ที่สนใจสามารถหาซื้อได้ที่ตลาดนัดเกตรีทุกวันจันทร์เช้า โรงเรียนมุสลิมศึกษาทุกวันอังคารและวันศุกร์ ตลาดนัดเช้าเจ๊ะบิลัง ทุกวันพฤหัสบดี และตลาดนัดหน้าแขวงทุกวันเสาร์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 080-873-2779

……….