Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 สมูทตี้จำปาดะ เมนูชวนลิ้มลอง ที่สวนจูหอดตัวอย่างเกษตรกรต้นแบบ บ้านโคกมุดพัฒนา สวนจำปาดะพันธุ์ดี กำลังผลิดอกออกผล พร้อมเดินหน้าสู่พืช GI เมืองสตูล

สมูทตี้จำปาดะ เมนูชวนลิ้มลอง ที่สวนจูหอดตัวอย่างเกษตรกรต้นแบบ บ้านโคกมุดพัฒนา สวนจำปาดะพันธุ์ดี กำลังผลิดอกออกผล พร้อมเดินหน้าสู่พืช GI เมืองสตูล

         บ้านสวนจูหอด ม.6 บ้านโคกมุดพัฒนา ตำบลเกตรี (อ่านว่า  เกด-ตรี)  อำเภอเมือง จังหวัดสตูล พื้นที่ 6 ไร่ของ “นายหอด แดสา” วัย 74 ปี กำลังกลายเป็นความหวังของชุมชนและวงการเกษตรในพื้นที่ เมื่อสวนผสมของเขาซึ่งประกอบด้วย จำปาดะพันธุ์ทองเกษตร ขวัญสตูล และไร้เมล็ด กว่า 160 ต้น เริ่มให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง เตรียมพร้อมเข้าสู่กระบวนการขึ้นทะเบียนพืชเศรษฐกิจ GI (Geographical Indication) หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดสตูล

          นายหอด  เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า  สวนแห่งนี้แต่เดิมเคยเป็นสวนยางพารา ก่อนจะตัดสินใจโค่นยางเมื่อราว 4 ปีก่อน เพื่อเปลี่ยนมาเป็นสวนผสมโดยปลูกพืชหมุนเวียนหลากหลายทั้งทุเรียนหมอนทอง 140 ต้น จำปาดะ 160 ต้น รวมถึงอ้อย กระเจี๊ยบ และพืชผักฤดูกาล เช่น แตงกวา ที่สามารถเก็บเกี่ยวขายได้วันละ 600-800 บาทในช่วงฤดูกาล

          “ปีที่แล้วจำปาดะ 5 ต้นให้ผลผลิตรวม 35 ลูก ปีนี้นับเฉพาะต้นเดียวได้ถึง 50 ลูกแล้ว” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม

          จำปาดะจากสวนจูหอดมี 3 สายพันธุ์หลัก ได้แก่  พันธุ์ขวัญสตูล เนื้อหนา กลิ่นหอมเฉพาะ  พันธุ์ทองเกษตร สีเหลืองสวย หวานละมุน  พันธุ์ไร้เมล็ด หายาก นิยมนำมาทอดหรือแปรรูป

          นางสาวนิลุบล เชื้อศรีชัย เจ้าหน้าที่เกษตรตำบลเกตรี สำนักงานเกษตรอำเภอเมืองสตูล ให้ข้อมูลว่า นายหอดเป็นหนึ่งในเกษตรกรรายใหญ่ที่สุดของอำเภอเมืองสตูลที่มีการปลูกจำปาดะมากที่สุด  ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมเอกสารขอขึ้นทะเบียน GI ผลไม้ประจำถิ่น  อำเภอเมืองสตูล  เพื่อยกระดับผลิตผลให้มีมูลค่าเพิ่มในตลาดระดับประเทศ โดยก่อนหน้านี้สวนได้รับการรับรองมาตรฐาน GAP แล้ว

          ทางเกษตรตำบลยังได้แนะนำการแปรรูปจำปาดะเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การทำ “สมูทตี้จำปาดะ”  ซึ่งให้รสชาติคล้ายไอศกรีม เมื่อผ่านการแช่แข็ง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภครุ่นใหม่ และช่วยเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรในท้องถิ่น

          นายการียา  เดชสมัน  ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ้านโคกมุดพัฒนา กล่าวย้ำว่า นายหอด  คือเกษตรกรต้นแบบของชุมชน ด้วยความขยัน อดทน และมีการบริหารจัดการสวนผสมอย่างเป็นระบบ จนกลายเป็นแหล่งเรียนรู้ให้แก่ชาวบ้าน พร้อมเผยแผนต่อไปคือการรณรงค์ให้ชาวบ้านปลูกจำปาดะเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็น “พืชเศรษฐกิจประจำถิ่น” และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

          สำหรับผู้ที่สนใจผลผลิตจำปาดะแท้จากสวนจูหอด สามารถติดต่อได้ที่  หมาดกอเฉ็ม ลูกชายของนายหอด โทร. 085-117-4338  หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ เกษตรอำเภอเมืองสตูล

          จำปาดะเป็นผลไม้เนื้อสีเหลือง มีรสหวาน กลิ่นหอมเฉพาะตัว คล้ายขนุนผสมกับทุเรียน นิยมนำมาทานสด ทอด หรือแปรรูปเป็นขนมและเครื่องดื่ม เป็นอีกหนึ่งอัตลักษณ์ที่สะท้อนความอุดมสมบูรณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้แห่งนี้  “การเกษตรไม่ใช่แค่เพาะปลูก แต่คือการเพาะความหวังให้แก่ชุมชน”

……………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 “พริกเดือยไก่ปลายสวน” ปลูกไว้ได้ลูกจบรับราชการ  อดีตสาวร้านเครื่องสำอางจับมือคู่ชีวิต ลุยเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้มั่นคงที่บ้านนาแค สตูล

“พริกเดือยไก่ปลายสวน” ปลูกไว้ได้ลูกจบรับราชการ  อดีตสาวร้านเครื่องสำอางจับมือคู่ชีวิต ลุยเกษตรอินทรีย์ สร้างรายได้มั่นคงที่บ้านนาแค สตูล

สตูล – จากพนักงานขายเครื่องสำอางในห้างฯ เมื่อสิบปีก่อน “นางนุชติยา ใจดี” หรือ “พี่นุช” วัย 50 ปี และสามี ได้ร่วมกันพลิกชีวิตด้วยสองมือและแรงใจ กลับคืนถิ่นบ้านเกิด ณ บ้านนาแค หมู่ 5 ตำบลคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล เปลี่ยนพื้นที่สวนยาง 3 ไร่ครึ่งให้กลายเป็นแหล่งผลิตพืชอินทรีย์และพลังชีวิตที่หล่อเลี้ยงครอบครัวมาอย่างมั่นคง

 

ชีวิตหลังแต่งงานทำให้พี่นุชเริ่มมองหาสิ่งที่มั่นคงกว่าเงินเดือน เขาและสามีจึงตัดสินใจหันหลังให้ชีวิตในเมือง หยิบจอบจับเสียม เรียนรู้เกษตรผสมผสานจากศูนย์ฝึกในชุมชนและจากประสบการณ์จริง จนสามารถออกแบบพื้นที่สวนได้อย่างลงตัว

 

ในสวนนี้ มีทั้งยางพาราอ่อนที่กำลังเติบโต พริกเดือยไก่ครึ่งไร่ ข้าวโพดครึ่งไร่ โหระพา แมงลัก และไผ่หวานกินชุง พร้อมแนวคิดอินทรีย์เต็มรูปแบบ ใช้น้ำหมักจากปลากับเศษกุ้ง ตามทฤษฎีนากุ้ง ไม่มีเคมี ไม่มีหนี้

 

“เราช่วยกันปลูก ช่วยกันเก็บ ตื่นเช้ามาด้วยกัน เหนื่อยด้วยกัน มันอาจไม่หวือหวา แต่เรามีอิสระ มีความสุข และที่สำคัญ เราเลี้ยงลูกจนเรียนจบกฎหมาย ทำงานรับราชการได้ด้วยผักพื้นบ้านพวกนี้” พี่นุชเล่าพลางยิ้ม

พริกเดือยไก่ที่ปลูกปีละครั้ง เก็บได้เกือบ 2 ตันต่อรอบ ราคาขายส่งอยู่ที่ราว 100 บาท ปลีก 150 บาท หากช่วงราคาดี เคยแตะถึง 220 บาทต่อกิโล รายได้เสริมมาจากหน่อไม้หวาน โหระพา แมงลัก ซึ่งลูกค้าหลักเป็นทั้งชาวบ้านและผู้สั่งซื้อออนไลน์ผ่าน Facebook “นุชติยา ใจดี”

 

ความได้เปรียบอีกอย่างของสวนนี้คือ ตั้งอยู่ใกล้แนวสันเขาการาคีรี พื้นที่อุดมสมบูรณ์ พืชผักเติบโตดีโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมี ช่วยลดต้นทุนและปลอดภัยทั้งคนกินและคนปลูก

 

พี่นุชและสามีเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของ “คู่ชีวิตนักสู้” ที่ไม่ยอมแพ้ต่อวิถีเมืองใหญ่ กลับมาสร้างรากฐานจากผืนดินบ้านเกิด จนกลายเป็นครอบครัวเกษตรกรที่มั่นคง

 

“เราสองคนไม่เคยคิดจะรวย แต่อยากอยู่แบบไม่ลำบาก อยากให้ลูกเห็นว่าพ่อแม่ใช้แรงตัวเองเลี้ยงเขามา ทุกหยดเหงื่อมีคุณค่า” พี่นุชกล่าวทิ้งท้าย

 

หากคุณกำลังท้อแท้ อยากเริ่มต้นใหม่ หรือยังไม่รู้ว่าความสุขอยู่ที่ไหน ลองกลับมามองดินที่ปลายเท้า แล้วคุณอาจพบคำตอบเหมือน “สองคนสามีภรรยา” คู่นี้

สนใจพริกพื้นบ้าน ผักอินทรีย์ หรือต้องการคำแนะนำด้านเกษตรผสมผสาน  ติดต่อ: นางนุชติยา ใจดี โทร. 084-858-4060   Facebook: นุชติยา ใจดี

         

พริกเดือยไก่ เป็นพริกพันธุ์พื้นบ้าน มีคุณลักษณะพิเศษคือ. เม็ดยาวพอประมาณ รสชาติเผ็ดร้อน และมีความหอม จึงเหมาะกับการทำเป็นเครื่องแกง

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 จากครูวิทย์…สู่เจ้าของสวนหมอนทอง!  “ภณ ลิ่มพรเจริญ” พลิกชีวิต ล้มสวนยาง ปั้นสวนทุเรียนคุณภาพแห่งสตูล พร้อมเปิดฤดูกาล 18 มิ.ย.นี้

จากครูวิทย์…สู่เจ้าของสวนหมอนทอง!  “ภณ ลิ่มพรเจริญ” พลิกชีวิต ล้มสวนยาง ปั้นสวนทุเรียนคุณภาพแห่งสตูล พร้อมเปิดฤดูกาล 18 มิ.ย.นี้

         ที่ 272 หมู่ 2 ต.ควนกาหลง อ.ควนกาหลง จ.สตูล มีชายคนหนึ่งที่กล้าฝัน และลงมือทำจริงจัง — นายภณ ลิ่มพรเจริญ วัย 52 ปี อดีตคุณครูวิทยาศาสตร์ที่ตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิต ล้มสวนยางเก่าบนพื้นที่ 6 ไร่ของตัวเอง เพื่อเริ่มต้นใหม่กับ “ทุเรียนหมอนทองคุณภาพสูง”

 

         “จากการสอนในห้องเรียน ผมหันมาศึกษาวิชาชีวิตนอกตำรา ใช้ประสบการณ์+ความอดทน พัฒนาสวนเองทุกขั้นตอน” นายภณเล่าด้วยแววตามุ่งมั่น

 

          เขาเลือกปลูก “หมอนทองจันทบุรี” ซึ่งใช้เวลากว่า 8 ปีในการพัฒนาสวน ผลผลิตเพิ่มขึ้นทุกปี — ปีแรก 500 ลูกปีที่สอง 1,000 ลูก  ปีล่าสุดคาดทะลุ 1,500 ลูก!

           ความยากไม่ได้อยู่แค่การปลูก…แต่อยู่ที่การดูแล!  “ปลูกทุเรียนไม่ง่ายอย่างที่คิด ต้องแต่งกิ่ง คุมยอดอ่อน และรับมือศัตรูพืชเพียบ”  ทั้ง เพลี้ยไฟ เพลี้ยไก่แจ้ ไรแดง ฯลฯ  นายภณ ลงมือกำจัดศัตรูพืชเองทุกครั้ง เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ปลอดภัยและได้คุณภาพ

 

           จุดเด่นของสวนคือ  เนื้อแน่น เปลือกบาง กลิ่นหอมหวานมัน รสชาติกลมกล่อม จนลูกค้าประจำบอกว่า “กินแล้วหยุดไม่ได้ ต้องสั่งทุกปี!”

 

         สวนจำหน่ายทั้ง ขายปลีก-ส่ง และเปิดให้ สั่งจองล่วงหน้า ผ่าน   Facebook: Phon Limproncharoen   โทร: 065-995-1915   รับประกันคุณภาพ : หากลูกค้าพบเนื้อไม่สมบูรณ์ เคลมได้ทันที เพียงถ่ายวิดีโอส่งกลับมายืนยัน

          ฤดูกาลใหม่เริ่ม 18 มิถุนายน 2568 นี้!  ใครที่ยังไม่เคยลองทุเรียนคุณภาพจากควนกาหลง…ปีนี้อย่าพลาด

…………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 หรอยจังหู้  แกงส้มทุเรียนหมอนทอง จากเกษตกรที่ทิ้งยาง ปลูกหมอนทอง ปลูกด้วยใจ ใส่เทคนิคธรรมชาติ ลุยตลาดทุเรียนคุณภาพ ส่งขายได้กิโลละ 100 บาท

หรอยจังหู้  แกงส้มทุเรียนหมอนทอง จากเกษตกรที่ทิ้งยาง ปลูกหมอนทอง ปลูกด้วยใจ ใส่เทคนิคธรรมชาติ ลุยตลาดทุเรียนคุณภาพ ส่งขายได้กิโลละ 100 บาท

         ที่บ้านสงขลา หมู่ 5 ตำบลควนขัน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล — ปีนี้นับเป็น “ฤดูกาลทอง” ของนายณัฐกร เอียดเหตุ หรือ “พี่อ๊อด” เกษตรกรผู้กล้าตัดสินใจโค่นต้นยางพาราอายุเพียง 5 ปีในสวน เพื่อเปลี่ยนมาเดินหน้าปลูก ทุเรียนหมอนทอง บนพื้นที่ 5 ไร่ จำนวน 200 ต้น ซึ่งในปีแรกนี้ มีต้นทุเรียนกว่า 40 ต้นเริ่มให้ผลผลิต สร้างความหวังใหม่ในการทำเกษตรของคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่น

 

           “การปลูกทุเรียน ต้องเข้าใจธรรมชาติ ต้องใส่ใจตั้งแต่ดิน ปุ๋ย น้ำ และต้องรู้จักการโยงกิ่ง โยงลูก รับมือกับพายุด้วย” — พี่อ๊อด กล่าว

 

          การดูแลสวนทุเรียนหมอนทองของพี่อ๊อด เน้นการใช้ภูมิปัญญาชาวบ้าน เช่น การติดแผ่นซีดีไล่ค้างคาว การโยงกิ่งเพื่อไม่ให้หักเวลาลมแรง และโยงลูกไม่ให้หล่น นอกจากนี้ยังวางระบบน้ำแบบสปริงเกอร์ พร้อมเสริมด้วย การเลี้ยงผึ้งโพรง เพื่อส่งเสริมการผสมเกสรและเพิ่มรายได้เสริม

         

          นางสาวฮาบีบ๊ะ จายุพันธ์ หรือ “ก๊ะบ๊ะ” เกษตรตำบลควนขัน กล่าวว่า พี่อ๊อดเป็นหนึ่งในสมาชิกของ กลุ่มส่งเสริมอาชีพผู้ปลูกทุเรียน ต.ควนขัน และ ต.เจ๊ะบิลัง ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกทั้งหมด 30 ราย ครอบคลุมพื้นที่รวม 130 ไร่ โดยมีเกษตรกร 8 รายที่กำลังเริ่มให้ผลผลิตรวมกว่า 20 ตัน และเตรียม ตัดขายล็อตแรกในช่วง 15-18 มิถุนายน นี้  ทุเรียนปีแรกต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ห้ามให้เกิน 54 ลูกต่อต้น เพื่อรักษาคุณภาพ

 

          นอกจากนี้ ยังมีล้งจากจังหวัดชุมพรเข้ามาติดต่อรับซื้อถึงสวน โดยราคาที่เกษตรกรได้รับคือ 100 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งถือว่าสูงและน่าพอใจอย่างยิ่งในปีแรกของการผลิต

         

           ที่น่าสนใจคือ แม้ทุเรียนบางลูกจะร่วงจากพายุแรงก่อนเวลา แต่พี่อ๊อดก็ยังใช้โอกาสนี้ แปรรูปเป็นเมนูแกงส้มทุเรียนหมอนทองแก่ใส่ปลาทู ให้ทีมสื่อได้ชิม รสชาติแปลกใหม่ เข้มข้น อร่อยลงตัว เป็นอีกหนึ่งแนวทางแปรรูปเพิ่มมูลค่าที่ชาวสวนสามารถต่อยอดได้

          หากท่านสนใจเยี่ยมชมสวน หรือติดต่อซื้อผลผลิตทุเรียนหมอนทองจากสวนพี่อ๊อด  สามารถติดต่อได้ที่นายณัฐกร เอียดเหตุ โทร. 062-9516323 นางสาวฮาบีบ๊ะ จายุพันธ์ (เกษตรตำบลควนขัน) โทร. 095-0362258 > เกษตรไม่ใช่แค่เรื่องดินฟ้า แต่คือศิลปะของการใช้ชีวิตอย่างมีความหวัง

…………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 “กุ้งเคยเซมเบ้” สตูลฮือฮา! เกษตรกรยุคใหม่พลิกโฉม “ของดีบ้านเรา” สู่ของฝากสุดหรู ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

สตูล-“กุ้งเคยเซมเบ้” สตูลฮือฮา! เกษตรกรยุคใหม่พลิกโฉม “ของดีบ้านเรา” สู่ของฝากสุดหรู ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

           สตูล-ชื่นชมไอเดียสุดปัง! ที่ศูนย์เรียนรู้บ้านท่าแลหลา ต.กำแพง อ.ละงู จ.สตูล กลุ่มแม่บ้านแปรรูปผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลและผู้นำชุมชน ผนึกกำลังนำ “กุ้งเคย” วัตถุดิบพื้นถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ในท้องที่ มายกระดับด้วยนวัตกรรมการแปรรูป จากเดิมที่คุ้นเคยกับ “กะปิท่าแลหลา” สู่ผลิตภัณฑ์ใหม่สุดว้าวอย่าง “เซมเบ้กุ้งเคย” “ผงโรยข้าวกุ้งเคย” และ “กุ้งเคยหวาน” ชูภาพลักษณ์ “ของฝากสวยหรูดูแพง” ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

          ต่อยอดภูมิปัญญา สู่สินค้าพรีเมียม โดยกรมประมง  โครงการนี้ได้รับความร่วมมือจากกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสัตว์น้ำ กรมประมง ที่ได้นำความรู้และเทคโนโลยีการแปรรูปมาถ่ายทอดให้กับชาวบ้าน พร้อมเน้นย้ำถึงความสำคัญของ “แพ็กเกจจิ้งที่สวยงาม” เพื่อเพิ่มมูลค่าและสร้างความหลากหลายให้กับสินค้า โดยเฉพาะเมนู “เซมเบ้กุ้งเคย” ที่เป็นไฮไลต์ของการอบรมในครั้งนี้

          สูตรเด็ด “เซมเบ้กุ้งเคย” ทำง่าย ได้จริง  ภายในงาน ผู้เชี่ยวชาญได้สาธิตและเปิดโอกาสให้กลุ่มเกษตรกรได้ลงมือทำเอง สร้างความตื่นเต้นและประทับใจเป็นอย่างมาก ด้วยสูตรที่ทำง่ายและสามารถต่อยอดได้จริง “เซมเบ้กุ้งเคย” มีส่วนผสมหลักคือ กุ้งเคยล้างน้ำ 70 กรัม, แป้งสาลี 40 กรัม, แป้งมัน 20 กรัม, น้ำ 20 กรัม, น้ำตาล 4 กรัม, น้ำมันพืช 5 กรัม และผงฟู 10 กรัม

         

         ขั้นตอนการทำก็ง่ายแสนง่าย: เพียงนำกุ้งเคยแช่น้ำ 10 นาที เทน้ำออกแล้วล้างผ่านน้ำ ผสมกับส่วนผสมทั้งหมด นวดให้เข้ากัน ปั้นเป็นก้อนกลมขนาดประมาณ 5 กรัม ทับให้เป็นแผ่นด้วยเครื่องทำขนมอบกรอบแผ่น อบที่อุณหภูมิ 160-180 องศาเซลเซียส นาน 2 นาที ก็จะได้แผ่นเซมเบ้กุ้งเคยสีเหลืองทอง กรอบอร่อยน่ารับประทาน ที่สำคัญ กลุ่มแม่บ้านยังสามารถปรุงแต่งเพิ่มเติมด้วยสาหร่ายหรือส่วนผสมอื่นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติและความสวยงามได้ตามใจชอบ

 

         “กุ้งเคยตาดำ” ท่าแลหลา วัตถุดิบคุณภาพ 73 ปีแห่งวิถีชีวิต  นายกัมพล รายา ประธานกลุ่มแปรรูปผลิตภัณฑ์จากอาหารทะเลบ้านท่าแลหลา (โทร. 086-969-2819) เล่าว่า ตลอด 73 ปีที่ผ่านมา ชาวบ้านท่าแลหลาสร้างอาชีพจากการออกหากุ้งเคยด้วยเรือขนาดเล็ก กุ้งเคยที่นี่มีมากตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเดือนมกราคมถึงเมษายน แม้ปริมาณจะลดลง 50% แต่หลังจากนั้นก็จะมีกุ้งเคยตลอด ซึ่งกุ้งเคยที่นี่คือ “กุ้งเคยตาดำ” ที่สำคัญคือ “ไม่มีทรายเจือปน” เนื่องจากสภาพพื้นที่เป็นดินโคลน จึงหมดปัญหากังวลเรื่องทราย

         นายกัมพล  กล่าวด้วยความดีใจว่า การอบรมครั้งนี้เป็นการต่อยอดที่สำคัญ เพิ่มสินค้าให้กับเกษตรกร สร้างมูลค่าให้กับกุ้งเคยจากเดิมที่แปรรูปเป็นเพียง “กะปิ” เท่านั้น (กะปิท่าแลหลา เพจ: กะปิท่าแลหรา ราคาครึ่งกิโล 80 บาท, 1 กิโล 160 บาท ส่วนผสม: เคย 90%, น้ำตาล 4%, เกลือ 6%)

 

          การทำเป็นขนมที่ทำง่าย กินง่าย สามารถเป็นของฝากของขวัญได้ ถือเป็นโอกาสใหม่ๆ ที่น่าตื่นเต้น  ประมงจังหวัดสตูลชี้ “การตลาด” คือหัวใจ  ด้านนายนิพนธ์ เสนอินทร์  ประมงจังหวัดสตูล ระบุว่า การอบรมเพิ่มมูลค่าสินค้าประมงอย่างกุ้งเคยของชาวบ้านท่าแลหลา อ.ละงู ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ ซึ่งจะเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าประมงให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น นอกจากความรู้ด้านการแปรรูปจากกรมประมงแล้ว ยังได้เชิญบริษัทประชารัฐ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดสำคัญ เพื่อให้ชาวบ้านสามารถนำสินค้าไปสู่ตลาดภายนอกได้ เป็นการจับคู่ระหว่างเกษตรกรผู้ผลิตกับบริษัทผู้ซื้อ เพื่อให้สินค้าท้องถิ่นเป็นที่รู้จักและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้กว้างขวางยิ่งขึ้น

……….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 จัดเบรกให้ปัง! สตูลปั้นมืออาชีพสายจัดอาหารว่าง เติมเทคนิคโซเชียล สร้างอาชีพยุคใหม่

จัดเบรกให้ปัง! สตูลปั้นมืออาชีพสายจัดอาหารว่าง เติมเทคนิคโซเชียล สร้างอาชีพยุคใหม่

          วันที่ 21 พฤษภาคม 2568  ณ  ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล ชั้น 4 อำเภอเมือง จังหวัดสตูล  ได้จัดอบรม “กิจกรรมการเตรียมอาหารว่างและเครื่องดื่มสำหรับงานประชุม/อบรมอย่างมืออาชีพ” ภายใต้โครงการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มอาชีพ ประจำปีงบประมาณ 2568 เพื่อยกระดับผู้ประกอบการท้องถิ่นให้ก้าวสู่ตลาดใหม่ ๆ อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะการจับตลาด “งานอบรม – งานราชการ” ที่มีความต้องการสูงและต่อเนื่อง

 

          การอบรมครั้งนี้ได้รับเกียรติจาก นายทวีศักดิ์  แก้วสลำ  รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เป็นประธานเปิดงาน พร้อมด้วยกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมกว่า 40 ราย ได้แก่ ผู้ประกอบการ OTOP วิสาหกิจชุมชน ร้านค้า และประชาชนผู้สนใจทั่วไป รวมถึงเจ้าหน้าที่จากเรือนจำและผู้มีบทบาทในการฝึกอาชีพแก่ผู้ต้องขัง โดยมี สถาบัน CDC Training Center และวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารว่างจาก มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ร่วมถ่ายทอดความรู้แบบจัดเต็ม

ตอบโจทย์อาชีพยุคโซเชียล – โอกาสใหม่หลังวิกฤตเศรษฐกิจ

ในยุคที่เศรษฐกิจชายแดนซบเซา การท่องเที่ยวไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และกำลังซื้อของประชาชนลดลง อาชีพเล็ก ๆ อย่าง “จัดเบรกประชุม” จึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางรอดที่มั่นคง เพราะกิจกรรมอบรม สัมมนา หรืออีเวนต์ราชการยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง และมีงบสนับสนุนชัดเจน

 

นางสาวอินทิรา ไพรัตน์  (วิทยากร) ให้สัมภาษณ์ว่า “โฮมสเตย์ของเรามีบริการอาหารเช้าอยู่แล้ว  การมาฝึกอบรมครั้งนี้ช่วยให้เราเพิ่มมูลค่าด้วยการจัดจานสวยๆ แล้วโพสต์ลงโซเชียล เรียกลูกค้าได้มากขึ้นแน่นอน”

 

อีกมุมหนึ่งจากผู้ฝึกอาชีพในเรือนจำ นางสาวชนัญชิดา   พราหมแผลง  เจ้าพนักงานอบรมฯ จากเรือนจำสตูล เผยว่า “ได้เทคนิคใหม่ ๆ เพียบเลย จะนำกลับไปต่อยอดฝึกให้ผู้ต้องขังหญิง เพื่อให้พวกเขามีทักษะอาชีพติดตัวก่อนออกสู่สังคม”

 

ขณะที่ นางรัชนี  เด่นกาญจนศักดิ์ เจ้าของร้านชาชักเจ้าดัง  “เตอบิลัง”  ก็เสริมว่า “การทำอาหารให้น่ากินไม่ใช่แค่รสชาติ แต่ต้องสื่อสารผ่านภาพถ่ายให้ดูดีด้วย ยุคนี้ลูกค้าซื้อด้วยตา และแชร์ต่อในโซเชียล โครงการแบบนี้ดีมาก อยากให้มีต่อเนื่อง”

 

หลักสูตร “จัดเบรกให้ปัง” ยกระดับมืออาชีพ – เพิ่มยอดขายด้วยมือถือ

          การอบรมไม่เพียงสอนเรื่องความสะอาด มาตรฐานการบริการ และการเลือกอาหารว่างที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกกลยุทธ์การตลาดยุคใหม่ โดย อินทิรา ไพรัตน์ วิทยากรจาก CDC Training Center ได้เน้นย้ำว่า “เราสอนวิธีจัดเบรกให้น่าทาน ถ่ายรูปให้ออกมาดูน่ากิน เทคนิคถ่ายภาพง่าย ๆ ด้วยมือถือก็ช่วยเพิ่มยอดขายได้ พร้อมทั้งสอนเรื่องการจัดอุปกรณ์ตกแต่ง เพิ่มความหรูหราให้กับชุดเบรก โดยไม่ต้องลงทุนสูง”

 

 กิจกรรมในวันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการพัฒนาอาชีพที่ทันสมัยและตอบโจทย์ยุคโซเชียลอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่มีอาชีพ แต่ต้องรู้จักเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วย “ทักษะการนำเสนอ” ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการขายในยุคนี้

 

ทั้งนี้ โครงการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มอาชีพ ประจำปี 2568 ยังวางแผนขยายกิจกรรมในลักษณะเดียวกันไปยังกลุ่มอื่น ๆ เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดสตูลสามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง มีรายได้ และเติบโตอย่างยั่งยืน

……………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 เห็ดนางฟ้า…พาเปลี่ยนชีวิต จากครูสู่วิสาหกิจชุมชน บ้านทางยางสตูล สร้างรายได้มั่นคง–แบ่งปันโอกาสให้ชุมชน

สตูล- เห็ดนางฟ้า…พาเปลี่ยนชีวิต จากครูสู่วิสาหกิจชุมชน บ้านทางยางสตูล สร้างรายได้มั่นคง–แบ่งปันโอกาสให้ชุมชน

             บ้านทางยาง หมู่ 7 ตำบลสาคร อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล พื้นที่ที่เงียบสงบถูกปลุกให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยแรงบันดาลใจของ “ครูจิสน  มัจฉา” อดีตครูผู้เบนเข็มชีวิตมาสู่การทำเกษตรเต็มตัว สร้าง ฟาร์มเห็ดนางฟ้า จากก้อนเชื้อ 85 ก้อนแรกในหม้อนึ่งลูกทุ่ง สู่วิสาหกิจชุมชนที่ผลิตก้อนเห็ดมากถึง 7,000 ก้อนต่อรอบ ก่อเกิดรายได้และการจ้างงานให้ชุมชนในทุกฤดูกาล

 

             ครูจิสน  มัจฉา  ประธานกลุ่มทางยางบ้านเห็ด บอกว่า  อยากหาทางเลือกให้ครอบครัวมีรายได้เสริม เห็นเห็ดนางฟ้าก็รู้สึกว่าใช่… เริ่มทำจากของเล็ก ๆ ที่เราชอบ พอทำจริง ๆ มันกลายเป็นรายได้หลักเลยค่ะ  สาเหตุที่เลือกเห็ดนางฟ้าเพราะสามารถขายได้ทั้งก้อนเห็ด  ดอกเห็ด และก้อนที่หมดอายุสามารถไปทำปุ๋ยได้

 

            ครูจิสน. เริ่มเพาะเห็ดจากความสนใจส่วนตัว ใช้หม้อนึ่งฟืนแบบพื้นบ้าน วันละ 6–8 ชั่วโมงต่อ 85 ก้อน ผ่านมาเกือบสิบปี เธอพัฒนาเทคนิคและเครื่องมือการผลิตจนกลายเป็นฟาร์มต้นแบบ ใช้หม้อนึ่งระบบไอน้ำที่รองรับได้มากถึง 780 ก้อนต่อครั้ง ลดการใช้ไม้ฟืน เพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน “ทางยางบ้านเห็ด” อย่างเป็นทางการในปี 2560

 

ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิก 10 ราย ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรสวนยางพาราและปาล์มน้ำมันและประมงในพื้นที่. ที่หันมาปลูกเห็ดเสริมอาชีพ  โดย กลุ่มมีการใช้นวัตกรรม ได้แก่ เครื่องผสม, เครื่องอัดก้อน, เตานึ่งระบบไอน้ำ ช่วยให้การผลิตก้อนเชื้อเห็ดรวดเร็ว มีมาตรฐาน และปลอดภัยยิ่งขึ้น

 

สินค้าหลักของกลุ่ม ได้แก่

  • ก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้า (10 บาท/ก้อน) ผลิตปีละ 4–5 รอบ รวมกว่า 28,000 ก้อน
  • ดอกเห็ดสด (60 บาท/กก.) ส่งตลาดละงู โรงเรียน และตัวแทนจำหน่าย
  • ผลิตภัณฑ์แปรรูป เช่น
  • น้ำพริกเห็ดนางฟ้า
  • เห็ดทอดกรอบรสลาบ
  • เห็ดปาปิก้า และสูตรดั้งเดิม

 

ขายดีทั้งตลาดสดและออนไลน์ สร้างรายได้เฉลี่ยเดือนละกว่า 30,000 บาท (ก่อนหักค่าใช้จ่าย) ไม่รวมแปรรูปเห็ด

           สำหรับ เห็ดก้อนเชื้อหนึ่งก้อนสามารถเก็บผลผลิตได้นานถึง 5 เดือน เมื่อหมดอายุยังสามารถนำไปทำปุ๋ยอินทรีย์ ใช้ในแปลงเกษตรของชุมชน

 

          “สำนักงานเกษตรอำเภอท่าแพ  ได้สนับสนุนกลุ่มนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่เรื่องเทคโนโลยี การจัดการ การหาตลาด จนกลายเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่น ๆ ได้เห็นว่า…ถ้าเราพร้อมลงมือทำ เกษตรก็สร้างอาชีพที่มั่นคงได้จริง ๆ”

 

          นายอารีย์  โส๊ะสันสะ  เกษตรอำเภอท่าแพ กล่าวอย่างภาคภูมิใจ ในอนาคตกลุ่มเตรียมขยายการเพาะเห็ดพันธุ์ใหม่ เช่น เห็ดมิลกี้ พร้อมวางระบบโรงเรือนควบคุมอุณหภูมิ สร้างแบรนด์ท้องถิ่น จดทะเบียนสินค้า และเพิ่มช่องทางตลาดในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียง เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น

 

          สำหรับเกษตรกรที่มองหาอาชีพเสริม  เดี๋ยวนี้ก็จะมีพืชเป็นพืชเศรษฐกิจอยู่หลายๆ ตัวอย่างเช่นสละ , กาแฟ.  แล้วก็เห็ด  เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย แล้วถ้าสามารถ ทำได้ตั้งแต่ขั้นตอนในการผลิตก้อนเอง และก็ในการเปิดออกจำหน่ายเองตรงนี้เขาจะมีกำไรค่อนข้างดี

 

         ผู้สนใจสามารถเยี่ยมชมและศึกษาดูงานได้ที่ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนทางยางบ้านเห็ด  เลขที่ 22 หมู่ 7 ตำบลสาคร อำเภอท่าแพ จังหวัดสตูล 91150. เพจ: บ้านไร่ภูภัทรโทร. 087-091-6176

 

         จากแรงบันดาลใจเล็ก ๆ ของอดีตครูท้องถิ่น… สู่วิสาหกิจชุมชนที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจของคนบ้านทางยาง

…….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 สตูล-“กรมประมง” เร่งเสริมศักยภาพการเพาะเลี้ยงม้าน้ำ สู่สัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูง

สตูล-“กรมประมง” เร่งเสริมศักยภาพการเพาะเลี้ยงม้าน้ำ สู่สัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูง

          สตูล – กรมประมง จับมือภาคเอกชนจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเสริมศักยภาพการเพาะเลี้ยงม้าน้ำ สัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูง เพื่อขยายการผลิตและรองรับความต้องการของตลาดในประเทศและต่างประเทศ พร้อมลดการจับม้าน้ำจากธรรมชาติที่ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

          ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลสตูล จังหวัดสตูล เป็นที่ตั้งของโครงการเพาะเลี้ยงม้าน้ำที่ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นจากการวิจัยและทดลองเพาะเลี้ยงม้าน้ำเพื่อรักษาพันธุ์และเพิ่มปริมาณจากแหล่งธรรมชาติที่ถูกทำลายไปตามกาลเวลา หลังจากนั้นจึงมีการขยายผลไปสู่การส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ฝั่งทะเลอันดามันได้นำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการผลิตเชิงพาณิชย์

 

          ม้าน้ำ ถือเป็นสัตว์น้ำที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และได้รับความนิยมในตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ม้าน้ำถูกนำไปใช้ในหลายรูปแบบ เช่น เป็นสัตว์น้ำสวยงาม บริโภคในตำรับยา และทำเป็นเครื่องประดับหรือของที่ระลึก ทำให้ม้าน้ำมีมูลค่าสูงในตลาดโลก แม้จะเป็นสัตว์ที่มีการจับในธรรมชาติ แต่กรมประมงได้ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเพาะเลี้ยงม้าน้ำมาเป็นระยะเวลานาน โดยขณะนี้สามารถเพาะเลี้ยงม้าน้ำได้ถึง 3 ชนิด ได้แก่ ม้าน้ำหนาม ม้าน้ำดำ และม้าน้ำสามจุด

          นางฐิติพร หลาวประเสริฐ รองอธิบดีกรมประมง กล่าวว่า  ทางกรมประมงได้จัดโครงการอบรมหลักสูตร “การเพาะเลี้ยงม้าน้ำเพื่อเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูง” ณ บารารีสอร์ทและศูนย์วิจัยฯ จังหวัดสตูล ที่ผ่านมา  โดยมีเกษตรกรจาก 5 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต และสตูล เข้าร่วมอบรมจำนวน 40 คน เพื่อเพิ่มทักษะในการเพาะเลี้ยงม้าน้ำ และการแปรรูปม้าน้ำให้เป็นสินค้ามูลค่าสูง   โดยนายนิพนธ์ เสนอินทร์  ประมงจังหวัดสตูล  ร่วมต้อนรับ  

 

          “การอบรมในครั้งนี้จะช่วยเสริมสร้างความรู้และทักษะในการเพาะเลี้ยงม้าน้ำให้แก่เกษตรกร เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตม้าน้ำให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดและลดการจับจากธรรมชาติ ซึ่งม้าน้ำถูกจัดให้เป็นสัตว์น้ำในบัญชีหมายเลข 2 ของอนุสัญญาไซเตส ที่จำกัดการจับและการส่งออกจากแหล่งธรรมชาติ”

 

          การอบรมประกอบด้วยเนื้อหาหลักสูตรเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงม้าน้ำ การแปรรูปม้าน้ำให้เป็นสินค้ามูลค่าสูง รวมถึงการขนส่งและการตลาดเพื่อการจำหน่ายและส่งออกม้าน้ำ โดยมีผู้เชี่ยวชาญทั้งจากกรมประมงและภาคเอกชนให้ความรู้แก่เกษตรกรเพื่อสามารถนำไปปรับใช้ได้จริงในการประกอบอาชีพ

 

          นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาดูงานที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลสตูล เพื่อให้เกษตรกรสามารถเรียนรู้จากกระบวนการจริง และขยายผลความสำเร็จสู่เกษตรกรรายอื่น ๆ ต่อไป

 

          รองอธิบดีกรมประมง กล่าวทิ้งท้ายว่า “เรามั่นใจว่า การขยายกำลังการผลิตม้าน้ำในเชิงพาณิชย์จะช่วยเสริมสร้างอาชีพให้กับเกษตรกรในพื้นที่ และสามารถรองรับความต้องการของตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ซึ่งม้าน้ำเป็นที่ต้องการสูง”

         เกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการต่างให้ความเห็นว่า การเพาะเลี้ยงม้าน้ำสามารถเป็นอาชีพเสริมที่ทำควบคู่ไปกับการเลี้ยงสัตว์น้ำประเภทอื่น เช่น สาหร่ายหรือกุ้งทะเล โดยเฉพาะ นายวศินะ รุ่งเรือง อายุ 31 ปี เจ้าของ “วศินะฟาร์ม” จังหวัดสตูล  กล่าวว่า “ผมเห็นว่า การเลี้ยงม้าน้ำจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้เสริม เพราะมันไม่ยุ่งยากมาก มีการจัดเตรียมอาหารให้ม้าน้ำ และสามารถเลี้ยงควบคู่กับการปลูกสาหร่ายที่ฟาร์มของเราอยู่แล้ว สำหรับปัญหากฎหมายก็อยากมาศึกษาเพื่อให้ทำได้ถูกต้องตามระเบียบ เราเชื่อว่า ม้าน้ำจะเป็นสินค้าส่งออกที่สามารถสร้างมูลค่าสูงให้กับประเทศได้”

 

          นางฐิติพร ทิ้งท้ายว่า “โครงการนี้ไม่เพียงแต่จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทย แต่ยังเป็นการอนุรักษ์ม้าน้ำในธรรมชาติและลดผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเลในระยะยาว ทำให้ม้าน้ำกลายเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจมูลค่าสูงทางเลือกใหม่ของเกษตรกรไทยในอนาคต”

…………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 จากกำแพงสูงสู่จานขนมจีน: เรื่องเล่าชีวิตใหม่ในร้านเล็ก ๆ หน้าเรือนจำสตูล

จากกำแพงสูงสู่จานขนมจีน: เรื่องเล่าชีวิตใหม่ในร้านเล็ก ๆ หน้าเรือนจำสตูล

เพลิงเล็กๆข้างบ้านพักถนนยาตราสวัสดี  ตำบลพิมาน  อำเภอเมือง  จังหวัดสตูล มีร้านขนมจีนเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเรือนจำจังหวัดสตูล ร้านที่ไม่ได้ขายแค่รสชาติอาหาร แต่จำหน่าย “โอกาสครั้งใหม่” ให้กับชีวิตที่เคยพลาดพลั้ง

 

“ร้านขนมจีนเรือนจำสตูล” เปิดบริการวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 09.00-14.00 น. มีผู้ต้องขังชาย 5 คนจากกองงานอาหารและเครื่องดื่ม ที่ได้รับคัดเลือกเพราะประพฤติดี ใกล้พ้นโทษ   ออกมาเรียนรู้การทำงานจริง ฝึกทักษะ และบริการลูกค้าด้วยความตั้งใจ ด้านหลังร้าน  ผู้ต้องขังหญิงยังคงทำงานอย่างขะมักเขม้น ปรุงน้ำยาขนมจีนรสชาติกลมกล่อม ทั้งน้ำยากะทิ น้ำยาไตปลา เขียวหวาน และแกงหวาน เสิร์ฟคู่ไข่ต้ม ไก่ทอด ในราคาย่อมเยาเพียง 25 บาทต่อจาน

 

หนึ่งจานขนมจีน อาจเป็นเพียงอาหารมื้อหนึ่งของลูกค้า แต่สำหรับพวกเขาแล้ว…มันคือ “ตั๋วใบใหม่” ในการกลับเข้าสู่สังคม

ลูกค้า รายหนึ่งที่เพิ่งมาทานเป็นครั้งแรกบอกว่า   เพื่อนชวนมาครั้งแรกก็รู้สึกชื่นชอบ  ด้วยรสชาติที่อร่อย ราคา ย่อมเยา และชอบขนมหวาน มีหน้าตาหลากหลาย ให้เลือกทาน เราจะเชิญชวนทุกคน มาอุดหนุน ขนมจีน เรือนจำสตูล กันเยอะ ๆ

 

นอกจากขนมจีน ยังมีขนมหวานฝีมือผู้ต้องขังหญิงให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นลูกชุบสีสันสดใส วุ้นกะทิ ขนมเปี๊ยะ และขนมชั้นที่จัดแต่งอย่างพิถีพิถัน  สะท้อนความใส่ใจในทุกรายละเอียด  ราวกับเป็นสัญญาณว่า พวกเขาเองก็พร้อมเปลี่ยนแปลง

 

 รายได้จากการขายสินค้า 70% เป็นของผู้ต้องขัง  เพื่อเป็นทุนตั้งต้นในชีวิตใหม่ อีก 30% นำกลับสู่โครงการฝึกอาชีพ สร้างวงจรโอกาสให้รุ่นน้องที่กำลังรอคิวเปลี่ยนชีวิตในวันข้างหน้า

 

และยังมีผลิตภัณฑ์ อีกมากมายกับผู้ต้องขังด้านใน ที่นำออกมาวางจำหน่าย ภายในเรือนจำจังหวัดสตูล อาทิ. น้ำชง, ไม้กวาด , พรมเช็ดเท้า, ว่าวพื้นเมือง, ฝาชี, ผลิตภัณฑ์ฟอร์นิเจอร์,และฝึกคาร์แคร์

โครงการเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้การสนับสนุนของ นายพีรพล น่วมศรี ผู้บัญชาการเรือนจำจังหวัดสตูล นายมูหมดยูซุป เบ็ญอาซิส ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาผู้ต้องขัง และนางสาวสุภาพร ทับมาก หัวหน้าฝ่ายฝึกวิชาชีพ ที่เชื่อว่า ทุกชีวิตที่เคยก้าวพลาด สมควรได้เรียนรู้และมีโอกาสสร้างชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิม

 

สำหรับผู้ที่อยากสนับสนุนชีวิตใหม่เหล่านี้ สามารถแวะมาอุดหนุนขนมจีนอร่อย ๆ หรือสั่งผลิตภัณฑ์ฝึกอาชีพได้ที่ 074-711950 ต่อ 105 (นางสาวสุภาพร ทับมาก) หรือ 081-6087252 (นายพีรพล น่วมศรี)

 

“บางครั้ง… การให้โอกาส เริ่มต้นได้จากแค่การนั่งลงทานขนมจีนจานหนึ่ง”

……………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

 สตูล-เกษตรกรสวนยาง 5 จังหวัดใต้ยื่นหนังสือวอนรัฐแก้ราคายางตกต่ำ ขู่ยกระดับเคลื่อนไหวหากยังนิ่งเฉย 

สตูล..เกษตรกรสวนยาง 5 จังหวัดใต้ยื่นหนังสือวอนรัฐแก้ราคายางตกต่ำ ขู่ยกระดับเคลื่อนไหวหากยังนิ่งเฉย

          วันที่ 22 เมษายน 2568 ที่ศาลากลางจังหวัดสตูล นายสันติ์ ดลภาวิจิตร ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางจังหวัดสตูล และรองประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางภาคใต้ตอนล่าง ดูแล 5 จังหวัด  (ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล)

 

          ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงหัวหน้าสำนักงานจังหวัดสตูล นายธนพัฒน์ เด่นบูรณะ  หัวหน้าสำนักงานจังหวัดสตูล  พร้อมด้วย รักษาการหัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด , สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด และการยางแห่งประเทศไทยจังหวัดสตูล ร่วมรับหนังสือดังกล่าว เพื่อส่งต่อไปยังหน่วยงานระดับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ

         สาระสำคัญของหนังสือร้องเรียนสะท้อนถึงความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนยางที่กำลังเผชิญกับภาวะราคายางพาราตกต่ำอย่างหนัก  โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา  ราคายางแผ่นดิบลดลงอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยราว 10 บาทต่อกิโลกรัม  ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรอย่างรุนแรง สาเหตุหลักเกิดจากการที่บริษัทและกลุ่มทุนใหญ่จงใจกดราคารับซื้อยางให้ต่ำกว่าความเป็นจริง โดยอ้างอิงนโยบายกำแพงภาษีจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งในความเป็นจริง มาตรการดังกล่าวได้ถูกเลื่อนการบังคับใช้ออกไปอีก 90 วันแล้ว

 

         นายสันติ์ ดลภาวิจิตร กล่าวว่า ขณะนี้ราคายางพารา ได้ตกจับ 60 เหลือ 40 บาท เพียง 2 วันจากการประกาศ กำแพง ภาษีของสหรัฐอเมริกา เป็นผลให้ กลุ่มทุนถือเป็นการเอาเปรียบเกษตรกรอย่างไม่เป็นธรรม และฝ่าฝืนพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 อย่างชัดเจน เครือข่ายเกษตรกรทั่วประเทศจึงพร้อมใจยื่นหนังสือต่อศูนย์ดำรงธรรมทุกจังหวัดในวันเดียวกัน  เพื่อให้รัฐบาลตระหนักถึงความเดือดร้อนของประชาชน และเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาโดยด่วน

ข้อเรียกร้องสำคัญในหนังสือ ได้แก่ 

  1. ให้รัฐกำหนดราคายางที่เป็นธรรมตามกฎหมาย
  2. ตรวจสอบพฤติกรรมการกดราคาจากกลุ่มทุน
  3. ควบคุมการขนย้ายยางพาราในพื้นที่ชายแดนเพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้า
  4. ตรวจสอบบัญชีภาษีของบริษัทรับซื้อยางที่มีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงภาษี
  5. อนุมัติโครงการสินเชื่อเงินกู้เพื่อรักษาเสถียรภาพราคายางวงเงิน 10,000 ล้านบาท

 

ทั้งนี้ เครือข่ายฯ ยืนยันว่าหากไม่มีการตอบสนองจากรัฐบาลภายใน 15 วันหลังได้รับหนังสือ กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จะยกระดับการเคลื่อนไหวทันที เพื่อปกป้องอาชีพหลักของตนที่มีสมาชิกกว่า 1 หมื่นรายในสตูล

 

“เราไม่ต้องการสร้างความวุ่นวาย เพียงแต่ต้องการความยุติธรรมให้กับอาชีพสุจริตของเรา หากรัฐยังนิ่งเฉย เราจำเป็นต้องยกระดับการชุมนุมอย่างสันติ” นายสันติ์กล่าวทิ้งท้าย

…….

อัพเดทล่าสุด