Categories
ข่าวทั่วไป

พสกนิกรสตูล ร่วมใจทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล ‘วันนวมินทรมหาราช’ อย่างพร้อมเพรียง

พสกนิกรสตูล ร่วมใจทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล ‘วันนวมินทรมหาราช’ อย่างพร้อมเพรียง

       สตูล – (13 ต.ค. 2568) – เช้าวันนี้ ที่บริเวณหน้าเทศบาลเมืองสตูล เต็มไปด้วยคลื่นมหาชนชาวสตูลที่พร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองอย่างพร้อมเพรียง เพื่อร่วมพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสารอาหารแห้ง ถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องใน “วันนวมินทรมหาราช” (วันที่ 13 ตุลาคม)

  

         พิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้รับเกียรติจาก นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธี นำคณะรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ พสกนิกรทุกหมู่เหล่า ตลอดจนสมาชิกชมรมคนรักในหลวงจังหวัดสตูล มารวมตัวกันด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

       บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบและอิ่มบุญ ประชาชนต่างนำข้าวสารอาหารแห้งและปัจจัยมาถวายแด่พระสงฆ์ เพื่อแสดงความกตัญญูและรำลึกถึงพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยตลอดมา

       การรวมพลังสวมเสื้อเหลืองในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงความแน่นแฟ้นและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวสตูลในการแสดงความจงรักภักดีและร่วมกันสืบสานปณิธานความดีงามตามรอยเบื้องพระยุคลบาท

…………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ไม่ทอดทิ้ง! ผู้ว่าฯ สตูล ควงนายกเหล่ากาชาดฯ รุดเยี่ยมให้กำลังใจ เหยื่อไฟไหม้

ไม่ทอดทิ้ง! ผู้ว่าฯ สตูล ควงนายกเหล่ากาชาดฯ รุดเยี่ยมให้กำลังใจ เหยื่อไฟไหม้เมืองสตูล

        วันที่ (10 ต.ค. 68) เวลา 10.30 น. ที่บ้านเลขที่ 96 หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านควน อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วยทันตแพทย์หญิงสุกีรติ กปิลกาญจน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ประสบเหตุอัคคีภัย พร้อมมอบสิ่งของช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นและเป็นขวัญกำลังใจแก่ผู้ประสบเหตุ โดยมีนายมานิต บริพันธ์ นายอำเภอเมืองสตูล นางสาววาสิฏฐี สาระพงศ์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสตูล ผู้แทนสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสตูล ผู้นำท้องที่ และผู้นำท้องถิ่น ร่วมลงพื้นที่ให้กำลังใจและมอบสิ่งของช่วยเหลือด้วย

         สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2568 เวลาประมาณ 05.20 น. ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ที่บ้านเลขที่ 96 หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านควน อำเภอเมืองสตูล ซึ่งเป็นบ้านของนางสาวอินสน เส็นดากัน สาเหตุคาดว่ามาจากการจุดเทียนเพื่อให้แสงสว่างก่อนออกไปกรีดยางพาราแล้วลืมดับ ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ขึ้น สร้างความเสียหายในส่วนห้องนอน โครงสร้างบ้านและทรัพย์สินภายในบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชนในพื้นที่ได้เข้าช่วยควบคุมสถานการณ์ไว้ได้อย่างทันท่วงที

          ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยหน่วยงานภาครัฐและภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันเร่งให้ความช่วยเหลือในทุกด้าน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัย และสร้างขวัญกำลังใจให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

ภาพข่าว-ปชส.สตูล

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ทุเรียนจิ๋วฟีเวอร์! วิทยาลัยเทคนิคสตูลปั้น ‘ลูกชุบทุเรียน’ เหมือนจริงเป๊ะ!  เปิดเส้นทางรายได้ สู่ตลาดต่างประเทศ

ทุเรียนจิ๋วฟีเวอร์! วิทยาลัยเทคนิคสตูลปั้น ‘ลูกชุบทุเรียน’ เหมือนจริงเป๊ะ!  เปิดเส้นทางรายได้ สู่ตลาดต่างประเทศ

         วันที่ 6 ตุลาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิทยาลัยเทคนิคสตูลเดินหน้าสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการเรียนรู้อาชีพให้ประชาชน เปิดอบรมการทำ “ลูกชุบผลไม้จิ๋ว” ขนมไทยสีสันสดใส โดยเฉพาะเมนูไฮไลต์อย่าง “ลูกทุเรียนชุบ” ที่มีกลิ่นและรสชาติคล้ายเนื้อทุเรียนจริง ถูกใจทั้งกลุ่มแม่บ้านและผู้บริโภคฝั่งประเทศมาเลเซียอย่างมาก จนเริ่มมีการสั่งซื้อเพื่อจำหน่าย  สร้างความหวังสู่ตลาดส่งออกขนมไทยในอนาคต

         ด้านนายวิเชียร บุญเตี่ยว ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคสตูล เปิดเผยว่า ทางวิทยาลัยได้จัดทำโครงการ “สร้างเส้นทางสู่อาชีพ” ภายใต้การสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล เพื่อส่งเสริมทักษะและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น โดยเน้นการอบรมวิชาชีพทั้งในกลุ่มเยาวชน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากกลุ่มแม่บ้านที่ต้องการอาชีพเสริมในยุคเศรษฐกิจซบเซา

        หนึ่งในหลักสูตรที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ การทำขนมลูกชุบ ขนมไทยโบราณที่ขึ้นชื่อเรื่องความประณีต สวยงาม และสามารถสร้างรายได้จริง โดยในเวิร์กช็อปครั้งนี้ มีไฮไลต์ที่น่าสนใจ คือการสอนทำ “ลูกชุบทรงลูกทุเรียน” ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ผสานความคิดสร้างสรรค์และรสชาติที่สะท้อนความเป็นไทยได้อย่างลงตัว

           ลูกชุบทรงลูกทุเรียนนี้ ปั้นเป็นรูปผลทุเรียนขนาดจิ๋ว แต่งสีเหลืองนวลเลียนแบบเนื้อทุเรียนจริง และที่พิเศษคือ มีการผสมกลิ่นและรสไส้ทุเรียนเข้ากับถั่วเขียวกวน ทำให้ได้กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของทุเรียนเมื่อกัดเข้าไป พร้อมเคลือบวุ้นบาง ๆ ให้ดูเงางาม เหมือนทุเรียนจำลองขนาดมินิ ที่ทั้งน่ารักและน่าทาน

         ด้านนางเย็นจิตต์ แต่งทอง อายุ 50 ปี แม่บ้านชาวสตูล ซึ่งเข้าร่วมการอบรม เผยว่า ตนเองมีอาชีพขายขนมอยู่แล้ว และสนใจการทำลูกชุบ เพราะสามารถทำที่บ้านได้ง่าย ใช้ต้นทุนต่ำ แต่ขายได้กำไรดี โดยเฉพาะ “ลูกชุบทุเรียน” ที่เป็นจุดขายใหม่ ตนได้นำตัวอย่างไปให้ญาติฝั่งประเทศมาเลเซียชิม และได้รับเสียงตอบรับที่ดีอย่างมาก

        “ญาติทางฝั่งโน้นบอกว่าไม่เคยเห็นขนมแบบนี้เลย รสชาติหอมเหมือนทุเรียนจริง และรูปร่างเหมือนของเล่นจิ๋ว เป็นเหมือนศิลปะที่กินได้ เขาติดใจเลยสั่งซื้อเรื่อย ๆ ค่ะ” นางเย็นจิตต์ กล่าว

           สำหรับ “ลูกชุบ” เป็นขนมไทยที่มีต้นกำเนิดจากวัฒนธรรมโปรตุเกสในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีลักษณะเด่นคือ ทำจากถั่วเขียวกวน ปั้นเป็นรูปร่างผลไม้ขนาดเล็ก เช่น มะม่วง พริก ชมพู่ มะเขือเทศ หรือแม้แต่ผลไม้ไทยที่ชาวต่างชาติชื่นชอบอย่าง “ทุเรียน” แล้วเคลือบด้วยวุ้นบาง ๆ ให้ดูเงางาม สีสันสดใส รสชาติหวาน มัน ละมุนลิ้น

          ราคาขายสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ชิ้นละ 1-2 บาท แล้วแต่รูปแบบการบรรจุ สามารถจัดเป็นกล่องของฝาก ของชำร่วย หรือทำเป็นสินค้าในตลาดท่องเที่ยวก็ได้

          การต่อยอด “ลูกชุบทุเรียน” และผลไม้จิ๋วชนิดอื่น ๆ กำลังกลายเป็นความหวังใหม่ของกลุ่มแม่บ้านในพื้นที่ ที่ต้องการมีอาชีพเสริมจากฝีมือตัวเอง และยังมีโอกาสสร้างรายได้จากตลาดประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะมาเลเซีย ซึ่งมีรสนิยมชื่นชอบขนมไทยอย่างมากในปัจจุบัน

………………………………………………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

“เทียนละลายกลายเป็นพญานาค!” วัดป่าช้าไทย จ.สตูล แปลงเทียนเก่าเป็นเรือพระน้ำหนักเกือบตัน เตรียมอวดโฉมประชันความงามชักพระ

“เทียนละลายกลายเป็นพญานาค!” วัดป่าช้าไทย จ.สตูล แปลงเทียนเก่าเป็นเรือพระน้ำหนักเกือบตัน เตรียมอวดโฉมประชันความงามชักพระ

วันที่ 4 ตุลาคม 2568 – ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศการเตรียมความพร้อมของวัดต่าง ๆ ทั่วจังหวัดสตูล ที่ต่างเร่งมือประดับตกแต่ง “เรือพระ” เพื่อนำเข้าร่วมกิจกรรมชักพระในวันออกพรรษา ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 7 ตุลาคม และจะมีการประกวดเรือพระในวันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2568 บริเวณหน้าโรงเรียนสตูลวิทยา โดยเทศบาลตำบลคลองขุดเป็นเจ้าภาพจัดงาน

หนึ่งในไฮไลต์ที่น่าจับตามอง คือ วัดสตูลสันตยาราม (หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดป่าช้าไทย) ตำบลพิมาน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ซึ่งมีไอเดียสุดสร้างสรรค์ไม่เหมือนใคร ด้วยการ “แปลงเทียนเก่า” จากวัด มาเนรมิตเป็น เศียรพญานาค และองค์ประกอบต่าง ๆ บนเรือพระทั้งลำ

เทียนเก่า ไม่ไร้ค่า!  พระสงฆ์และชาวบ้านที่วัด เล่าว่ามีการเก็บรวบรวมเศษเทียนไขจากจุดบูชาพระพุทธรูป เทียนพรรษาเก่าที่หยดลงพื้น หรือเหลือใช้จากปีที่ผ่านมา มาละลายใหม่ด้วยความร้อน แล้วเทใส่ บล็อกลวดลายไทย ที่ออกแบบมาเฉพาะกิจ โดยมี ใยแก้วรองด้านใน เพื่อกันหัก เมื่อเย็นตัว เทียนจะแข็งเป็นชิ้นงานประณีต ดึงออกจากพิมพ์ได้อย่างสวยงาม

พระเมืองแมน ป.ภโสร พระผู้มีบทบาทร่วมออกแบบและสร้างเรือพระ เผยว่า ปีนี้นับเป็นปีที่ 4 ที่วัดใช้เทียนไขสร้างสรรค์เรือพระทั้งลำ จุดเด่นอยู่ที่ เศียรพญานาค  7 เศียร และ ลำตัวพญานาค ที่มีน้ำหนักหัวละราว 20 กิโลกรัม รวมทั้งลำเรือหนักเกือบ 1 ตัน!

         นอกจากนี้ วัดยังนำ ผ้าห่มเจดีย์เก่า ที่ไม่ได้ใช้แล้ว มาประยุกต์จับจีบตกแต่งเรือ สะท้อนแนวคิด “ใช้ซ้ำอย่างศรัทธา” ได้อย่างงดงาม

          เรือพระของวัดสตูลสันตยารามในปีนี้ ไม่ใช่แค่ศิลปะทางสายตา แต่ยังสื่อถึงจิตวิญญาณของพุทธศาสนา ที่เชื่อมโยงการใช้ทรัพยากรอย่างรู้คุณค่า ศรัทธาอย่างมีสติ และสืบสานประเพณีไทยใต้ได้อย่างน่าชื่นชม

………………………………………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

น้ำใจหลั่งไหล! ผู้ว่าฯ สตูล มอบบ้านหลังใหม่ให้ผู้สูงอายุยากไร้ ที่ควนโดน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้ยั่งยืน

น้ำใจหลั่งไหล! ผู้ว่าฯ สตูล มอบบ้านหลังใหม่ให้ผู้สูงอายุยากไร้ ที่ควนโดน พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้ยั่งยืน

วันที่ 2 ตุลาคม 2568 เวลา 14.30 น. นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วย ทันตแพทย์หญิงสุกีรติ กปิลกาญจน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสตูล และส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันส่งมอบบ้านตามโครงการดี ๆ ที่มุ่งเสริมสร้างศักยภาพและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนสตูลอย่างยั่งยืน ณ บ้านเลขที่ 212 หมู่ที่ 7 บ้านปากบาง ตำบลย่านซื่อ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล

การส่งมอบบ้านครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม “รวมพลังคนสตูลร่วมดูแลประชาชน” เพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้กับกลุ่มผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ และผู้พิการ โดยได้ส่งมอบให้กับ นางสาวฮาซาน๊ะ ใบหมาดปันจอร์ อายุ 69 ปี ซึ่งเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่เพียงลำพังและมีโรคประจำตัว โดยก่อนหน้านี้บ้านของนางสาวฮาซาน๊ะ มีสภาพทรุดโทรมและขาดความปลอดภัยอย่างมาก

 

ในพิธีส่งมอบบ้านเต็มไปด้วยความอบอุ่น นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ได้ร่วมมอบเงิน สิ่งของอุปโภคบริโภค และเครื่องใช้ที่จำเป็น เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือ

โครงการนี้ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสและมอบที่อยู่อาศัยที่ดีขึ้นให้กับผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ และผู้ด้อยโอกาสเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงใจสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคงและมีความสุขอย่างยั่งยืนสมกับชื่อโครงการ

………………………….

ภาพ/ข่าว : ศุภาพิชญ์ ดวงไข /ส.ปชส.สตูล

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

“ขยะปันสุข” สตูล สร้างรายได้กว่า 2.3 แสนบาท! ผู้ว่าฯ นำทีมบริจาค ขยะรีไซเคิล ช่วยเหลือสังคม

“ขยะปันสุข” สตูล สร้างรายได้กว่า 2.3 แสนบาท! ผู้ว่าฯ นำทีมบริจาค ขยะรีไซเคิล ช่วยเหลือสังคม

สตูล – ข้าราชการสตูลผนึกกำลัง! ผู้ว่าฯ “ศักระ กปิลกาญจน์” รับมอบขยะรีไซเคิล “ขยะปันสุข” จากหัวหน้าส่วนราชการและภาคีเครือข่าย แสดงพลังรักษ์โลก พร้อมแปลง “ขยะ” เป็น “บุญ” นำรายได้กว่า 230,000 บาท ช่วยเหลือผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียงในพื้นที่แล้วกว่า 1,400 ราย!

 

วันที่ (30 ก.ย. 68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ศาลากลางจังหวัดสตูลหลังใหม่ บรรยากาศเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการทำความดี เมื่อ นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล ได้รับมอบการบริจาคขยะรีไซเคิลตาม โครงการ “ขยะปันสุข” จาก นายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วยปลัดจังหวัด นายอำเภอ หัวหน้าส่วนราชการ และภาคเอกชน ที่พร้อมใจนำขยะรีไซเคิลที่คัดแยกแล้วจากครัวเรือนและสำนักงานมาร่วมบริจาคอย่างล้นหลาม

 

โครงการ “ขยะปันสุข” ที่ริเริ่มโดยสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดสตูลนี้ ไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ช่วย ลดปริมาณขยะ และ ส่งเสริมการคัดแยกขยะที่ต้นทาง ตามหลักวิชาการเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างสรรค์สังคมอย่างยั่งยืน โดยนำขยะที่ได้ไปจำหน่ายและ นำรายได้ทั้งหมดไปช่วยเหลือสังคม

 

ยอดบริจาคพุ่ง! ลดก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 140 ตันคาร์บอน

ผลการดำเนินงานของโครงการฯ ตลอดปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 จนถึงเดือนสิงหาคม 2568 นั้นน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง:  ขยะรีไซเคิลรวมทั้งสิ้น 50,917.63 กิโลกรัม  สร้างรายได้จากการจำหน่ายรวม 231,913.64 บาท 

รายได้เหล่านี้ถูกนำไปช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในจังหวัดสตูลแล้วถึง 1,467 คน ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส หรือผู้ป่วยติดเตียง เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาให้ดีขึ้น นอกจากนี้ การคัดแยกและนำขยะไปใช้ประโยชน์ยังช่วย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 140,594.54 KgCO2eq เลยทีเดียว!

ผู้ว่าฯ สตูล จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ “เปลี่ยนขยะเป็นบุญ” นี้ โดยสามารถนำขวดพลาสติก กระดาษลัง กระป๋อง หรือขวดแก้ว ไปบริจาคได้ ณ จุดรับบริจาคที่ บริเวณหน้าสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดสตูล ชั้น 1 ศาลากลางหลังใหม่ หรือจุดรับบริจาคที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่กำหนด

ขยะของคุณ…กำลังจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มให้กับเพื่อนร่วมสังคม!

……………………………..

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ไหว้ผีโบ๊ว  ประเพณีเก่าแก่ทุ่งหว้า สืบสานอัตลักษณ์ท้องถิ่น – เสน่ห์สตูลจีโอปาร์ค

สตูล  ไหว้ผีโบ๊ว  ประเพณีเก่าแก่ทุ่งหว้า สืบสานอัตลักษณ์ท้องถิ่น – เสน่ห์สตูลจีโอปาร์ค

อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งในช่วง เดือน 7 ตามปฏิทินจีน เมื่อเสียงกลอง เสียงฉาบ และการเชิดสิงโตดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณหน้าตลาดสดเทศบาลตำบลทุ่งหว้า กับงาน ประเพณีไหว้ผีโบ๊ว (ผีหมู่) ซึ่งถือเป็นพิธีกรรมโบราณที่บอกเล่าความเชื่อ วิถีชีวิต และความกตัญญูของผู้คนในชุมชนมายาวนานกว่าร้อยปี

 

วัฒนธรรมที่สะท้อนความกตัญญู คำว่า “โบ๊ว” ในภาษาถิ่นใต้หมายถึง “หมู่” หรือ “พวก” เดิมทีพิธีนี้แต่ละครอบครัวจะจัดขึ้นเพื่อตั้งเครื่องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ แต่เมื่อชุมชนขยายใหญ่ขึ้น จึงมีการรวมตัวประกอบพิธีครั้งใหญ่ร่วมกัน กลายเป็น การไหว้ผีหมู่ เพื่อทำบุญอุทิศแก่ผู้ล่วงลับที่ไร้ญาติให้ได้รับกุศลไปด้วย

 

ความเชื่อดังกล่าวยังสอดคล้องกับคติชาวจีนว่า เดือน 7 เป็น “เดือนผี” ซึ่งวิญญาณที่ถูกกักขังจะถูกปลดปล่อยขึ้นมาบนโลกมนุษย์ ชาวบ้านจึงแก้เคล็ดด้วยการต้อนรับ เรียกผีเหล่านั้นว่า “ฮ้อเฮียตี๋” หรือพี่น้องที่ดี เปลี่ยนความน่ากลัวให้กลายเป็นมิตรภาพและความผูกพัน

 

มากกว่าพิธีกรรม คือแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม นอกจากพิธีไหว้ผีโบ๊วแล้ว บริเวณชุมชนทุ่งหว้ายังซ่อนเสน่ห์อีกมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถเดินชม สตรีทอาร์ตที่วาดอยู่ตามผนังบ้านเรือน สะท้อนเรื่องเล่าและวิถีท้องถิ่น พร้อมมุมถ่ายรูปสวย ๆ ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันได้อย่างลงตัว

 

ด้วยที่ตั้งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ สตูลยูเนสโกจีโอปาร์ค นักท่องเที่ยวสามารถต่อยอดการเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอื่น ๆ ได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็น ถ้ำภูผาเพชร เกาะเขาใหญ่ น้ำตกวังสายทอง หรือชุมชนท่องเที่ยวในอำเภอใกล้เคียง ถือเป็นการเชื่อมโยงมิติของ “วัฒนธรรมกับธรรมชาติ” ได้อย่างกลมกลืน

 

           นายกิตตพงษ์ แก้วยอดทอง  หัวหน้าสนง.วัฒนธรรมจังหวัดสตูล กล่าวว่า > “การจัดงานไหว้ผีโบ๊วไม่ใช่เพียงการสืบสานพิธีกรรมเก่าแก่ แต่ยังเป็นการสร้างพื้นที่เรียนรู้ทางวัฒนธรรม เชื่อมโยงให้คนรุ่นใหม่เห็นคุณค่า และยังเป็นโอกาสพัฒนาไปสู่การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ยั่งยืน โดยจังหวัดสตูลและเทศบาลตำบลทุ่งหว้าพร้อมสนับสนุนเต็มที่ เพื่อให้ประเพณีนี้อยู่คู่บ้านคู่เมืองตลอดไป”

ขณะเดียวกัน นายธงชัย สารอักษร ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น อดีตวัฒนธรรมจังหวัดสตูล ได้เล่าถึงตำนานว่า > “ในสมัยสุไหงอุเปเคยเป็นเขตหนึ่งของไทรบุรี การไหว้ผีโบ๊วถือเป็นพิธีใหญ่ที่ทุกตระกูลร่วมมือกัน เพราะเชื่อว่าผีไม่มีญาติจะเร่ร่อน หากไม่มีใครทำบุญอุทิศไปให้ก็จะเกิดความเดือดร้อนแก่ชุมชน จึงต้องรวมใจทำพิธีครั้งเดียว เพื่อเป็นทั้งการปกป้องคุ้มครองและแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษผ่านหน้ากากผี”

 

รากเหง้าที่ไม่ควรเลือนหาย ปีนี้ เทศบาลตำบลทุ่งหว้า ร่วมกับสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสตูล จัดงานขึ้นระหว่างวันที่ 15–16 กันยายน 2568 ในงานมีนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสทั้งบรรยากาศประเพณีโบราณ ร่วมกิจกรรมของชุมชน และเปิดประสบการณ์ใหม่ในการเรียนรู้วัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติของสตูลจีโอปาร์ค

 

ประเพณีไหว้ผีโบ๊ว จึงไม่เพียงเป็นพิธีกรรม หากแต่คือรากเหง้าของชุมชนที่สะท้อนคุณค่าความกตัญญู ความผูกพัน และความร่วมแรงร่วมใจ ซึ่งหากไม่ได้รับการสืบสานอย่างจริงจัง ก็อาจเลือนหายไปพร้อมกับกาลเวลา

…………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ถนนหน้าบ้านขรุขระเป็นหลุมบ่อ … ฟ้องศาลขอเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีตได้ไหม ?

ถนนหน้าบ้านขรุขระเป็นหลุมบ่อ … ฟ้องศาลขอเปลี่ยนเป็นถนนคอนกรีตได้ไหม ?

           เชื่อว่า … ถ้าหน้าบ้านใครเป็นถนนดินหรือถนนลูกรัง คงจะไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไร เพราะไม่ว่าจะเป็นช่วงหน้าฝนที่มักเกิดปัญหาถนนเฉอะแฉะ เป็นหลุมบ่อ หรือหากเป็นช่วงหน้าร้อน ก็มักมีฝุ่นดินฟุ้งกระจายเวลารถวิ่งผ่าน แทบทุกบ้านจึงอยากให้ถนนหน้าบ้านของตนเป็นถนนคอนกรีต เนื่องจากมีความทนทานสูง รับน้ำหนักได้ดี และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ก็มีข้อเสียคือ ต้นทุนการก่อสร้างที่สูงและการซ่อมแซมที่ยุ่งยาก ตรงกันข้ามกับถนนลูกรังที่ใช้งบประมาณน้อย การก่อสร้างและซ่อมแซม  สามารถทำได้ง่าย แต่ก็ต้องทนกับฝุ่นและไม่ทนทานหรือเกิดการชำรุดเสียหายได้ง่ายตามที่กล่าวมา

 

         พาให้ชวนสงสัยว่า … ถ้าหากเราอยากให้หน่วยงานของรัฐก่อสร้างปรับปรุงถนนหน้าบ้าน
ให้เป็นถนนคอนกรีต จะสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้หรือไม่ ?

 

         ประเด็นปัญหา : นางหญิงซึ่งพักอาศัยอยู่กับมารดาอ้างว่า ครอบครัวตนได้รับความเดือดร้อน
จากการไม่สามารถใช้ทางสาธารณประโยชน์หน้าบ้านที่มีขนาดกว้าง 2 เมตร ในการนำรถยนต์ขนาดเล็กผ่านเข้าออกได้โดยสะดวก เนื่องจากมีสภาพขรุขระเป็นหลุมบ่อ ทำให้ต้องสัญจรผ่านที่ดินของบุคคลอื่น ซึ่งก็มักจะมีน้ำท่วมขัง
ในช่วงฤดูฝน ส่งผลให้ตนต้องประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้เทศบาล (ผู้ถูกฟ้องคดี) ทำการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กบนทางสาธารณประโยชน์ดังกล่าว

 

          ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาว่า : แม้ผู้ฟ้องคดีจะเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
อันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ของเทศบาลก็ตาม แต่ผู้ที่จะมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้นั้น นอกจาก
ต้องเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายดังกล่าวแล้ว ในส่วนการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อน
หรือความเสียหายตามที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอ จะต้องเป็นกรณีที่ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดคำบังคับได้
ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ด้วย

 

          การที่ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้เทศบาลก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก
บนทางพิพาท ซึ่งแม้จะถือเป็นอำนาจหน้าที่ของเทศบาลที่ต้องจัดให้มีการบำรุงทางบกและทางน้ำตามมาตรา 53 และมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แต่การที่เทศบาลจะดำเนินการก่อสร้างถนนดังกล่าวหรือไม่ เป็นอำนาจหน้าที่ของเทศบาลโดยตรงที่จะต้องพิจารณาโดยคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงความจำเป็นเร่งด่วนเป็นสำคัญ คำขอของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวมีลักษณะเป็นคำขอที่ให้ศาลมีคำบังคับ
เข้าไปจัดการบริหารงานในภาระหน้าที่ของเทศบาลซึ่งเป็นอำนาจของฝ่ายปกครองโดยแท้ในทางบริหาร
กรณีจึงเป็นคำขอที่ศาลไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปกำหนดคำบังคับให้ได้ตามมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (2)
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีนี้ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว (คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 1183/2567)

 

           สรุปได้ว่า : แม้ราชการส่วนท้องถิ่นหรือเทศบาลจะมีหน้าที่ในการจัดให้มีและบำรุงรักษาถนนหนทาง แต่ประชาชนก็ไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับให้มีการดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงถนน
เป็นรูปแบบคอนกรีตเสริมเหล็กตามที่ตนต้องการได้ เนื่องจากการพิจารณาก่อสร้างถนนในรูปแบบดังกล่าว
เป็นอำนาจโดยแท้ในทางบริหารของเทศบาลซึ่งต้องคำนึงถึงการจัดสรรงบประมาณ รวมถึงความจำเป็นเร่งด่วนเป็นสำคัญ ศาลจึงไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปกำหนดคำบังคับให้ดำเนินการดังกล่าวได้  อย่างไรก็ตาม การที่ถนนชำรุดบกพร่องหรือมีสภาพขรุขระเป็นหลุมบ่อ จนทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติหรืออาจเกิดอันตรายจากการใช้งาน ถือได้ว่าผู้ใช้ถนนได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเกิดจากการละเลยต่อหน้าที่ในการบำรุงรักษาถนนตามาตรา 50 วรรคหนึ่ง (2) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาลฯ จึงสามารถฟ้องคดี
ต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้กำหนดคำบังคับให้หน่วยงานทางปกครองดำเนินการซ่อมแซมให้ถนนสามารถ
ใช้งานได้อย่างปลอดภัยหรือป้องกันอันตรายอันเกิดจากการใช้ถนนได้ … นั่นเองครับ

(ปรึกษาการฟ้องคดีปกครองได้ที่สายด่วนศาลปกครอง 1355)

โดย ลุงถูกต้อง

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 68 ปรับตัวดีต่อเนื่อง

เอสซีจี เผยผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งปีแรก 68 ปรับตัวดีต่อเนื่อง กระแสเงินสดแกร่งขึ้น หนี้ลด ครึ่งปีหลังเร่งเครื่องฝ่าพายุเศรษฐกิจโลก ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน”  “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ดัน “สินค้า Smart Value – HVA – Green” รุกตลาดเติบโต  เคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น

31 กรกฎาคม 2568 – กรุงเทพฯ : เอสซีจี เผยผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ครึ่งปีแรก 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ขณะที่หนี้สินสุทธิลดลงจากสิ้นไตรมาส 1/2568 ลดลงเกือบหมื่นล้านบาท จากการปรับตัวของทุกธุรกิจ ปรับพอร์ตลงทุน หยุดธุรกิจไม่ทำกำไร ประเมินเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ครึ่งปีหลัง 2568 ยังท้าทายสูง จากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เร่งเครื่องธุรกิจ   ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ดัน “สินค้า Smart Value – HVA – Green”  รุกตลาดเติบโต พร้อมเคาะเงินปันผลระหว่างกาล 2.50 บาท/หุ้น ดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง

 

นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เอสซีจี มุ่งดำเนินมาตรการเสริมความเข้มแข็งทางการเงินมาต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2567 ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) แข็งแกร่งขึ้น อยู่ที่ 30,320 ล้านบาท ดีขึ้นกว่าครึ่งปีหลังของปี 2567 ร้อยละ 21 จากการปรับพอร์ตลงทุน การหยุดธุรกิจไม่ทำกำไร และการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของทุกธุรกิจ โดยธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง บริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ธุรกิจแพคเกจจิ้ง (เอสซีจีพี) ปรับแผนผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ บริหารต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล ร่วมกับใช้เทคโนโลยีและ AI เพิ่มประสิทธิภาพจัดการต้นทุนได้ดี และธุรกิจเคมิคอลส์ (เอสซีจีซี) ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ (Gap) เริ่มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนราคาน้ำมันดิบที่ลดลง นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมีรายได้เงินปันผลรับต่อเนื่อง

 

ขณะที่ไตรมาส 2/2568 บริหารจัดการเงินทุนหมุนเวียน ลดลง 7,164 ล้านบาท จากไตรมาส 1/2568 หนี้สินสุทธิ ลดลง 8,365 ล้านบาท จากสิ้นไตรมาส 1/2568 และมีเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 45,542 ล้านบาท

 

ด้านผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2568 เอสซีจี มีรายได้ 249,077 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 18,436 ล้านบาท ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษจากการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะมีกำไรอยู่ที่ 3,266 ล้านบาท

สำหรับการดำเนินงานที่สำคัญในครึ่งปีแรกของปี 2568 เช่น

  • ลดต้นทุน แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก เช่น เอสซีจีซี บริหารต้นทุนวัตถุดิบและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลพลอยได้จากสายผลิตภัณฑ์ ลดต้นทุนและเพิ่มมูลค่าได้ 912 ล้านบาท ปรับปรุงโรงงานให้เดินเต็มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนได้ 616 ล้านบาท และลดเงินทุนหมุนเวียนลงได้ 6,989 ล้านบาท เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้พลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 1,100 ล้านบาท เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มการใช้พลังงานสะอาด เจรจาลดต้นทุนวัตถุดิบ บริหารจัดการสินค้าคงคลัง ลดต้นทุนได้ 146 ล้านบาทต่อปี และ เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้หุ่นยนต์และพลังงานสะอาดในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนได้ 105 ล้านบาท
  • ปรับโครงสร้างการดำเนินงานและธุรกิจ เช่น PT Chandra Asri Pacific Tbk. (CAP) ในอินโดนีเซีย และบางธุรกิจในทวีปยุโรป ของเอสซีจีซี รวมทั้งบางธุรกิจในอินโดนีเซีย ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อปีได้ประมาณ 1,200 ล้านบาท
  • ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ เช่น เอสซีจีซี พัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) ที่ตอบโจทย์กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน บรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ การแพทย์และสุขภาพ รวมถึงโซลูชันด้านพลังงาน และ เอสซีจี เดคคอร์ ขยายพอร์ตสินค้าจากธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ ไปยังการนำเข้าสินค้าในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง อาทิ ปูนกาวและยาแนว ประตูและหน้าต่าง ท็อปเคาน์เตอร์ครัว และเจาะตลาดมูลค่าเพิ่มสูงด้วยสินค้า HVA เช่น กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน และสุขภัณฑ์สมาร์ท

 

อย่างไรก็ตาม เอสซีจี มองว่าสถานการณ์ครึ่งปีหลังของปี 2568 ยังท้าทายอยู่มาก จากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business Competitiveness) เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่

1.) ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” (Regional Optimization) ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี โดยเน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซี เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568 ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้                  กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร

นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution” เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุน ของเอสซีจีพี

2.) “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก

  • การใช้หุ่นยนต์และ AI เช่น เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS Warehouse System) ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง รวมทั้งร่วมกับพาร์ทเนอร์ พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ นอกจากนี้ ได้เริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เอสซีจี เดคคอร์ ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้า และ เอสซีจีซี ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน อาทิ โรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC มีสัดส่วนการใช้หุ่นยนต์ (Robot Density) เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์
  • การลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน

3.) ดัน “สินค้า Smart Value – HVA – Green” รุกตลาดเติบโตสูง

  • เร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products – SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม “ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์­ “หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO” โดย เอสซีจี เดคคอร์
  • สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products – HVA) และโซลูชัน เช่น “CHILLOX” โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็นที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ลดการใช้ไฟฟ้า และกักเก็บความเย็นได้นานในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมทั้งต่อยอดความเชี่ยวชาญสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ อาทิ “DRS” (Digital Reliability Service Solutions) บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมครบวงจรรายแรกของโลก โดย เอสซีจีซี “ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูงสำหรับท่อร้อยสายไฟใต้ดิน” ที่ใช้เทคโนโลยีคอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษ เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ช่วยลดอุบัติเหตุและลดเสียงดังเมื่อรถวิ่งผ่าน และ “ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป” สำหรับปั้นก้อนแต่งมุมให้เรียบตรงและได้ฉาก รายแรกในไทย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ “ONNEX ArcBox” นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้ลุกลามแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีจากอังกฤษ และ “ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์” ที่พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นและยืดหยุ่น โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง “ฟิล์มติดอาคาร Raycoool” ที่ใช้เทคโนโลยี Radiative Cooling ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนออกจากอาคาร ทำให้ในอาคารเย็นขึ้นและลดการใช้พลังงาน โดย เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr” “วัสดุตกแต่งพื้นผิว Standard Click Lock” ติดตั้งไว กันน้ำ กันปลวก และ “กระเบื้อง X STRONG” กันรอยขีดข่วนและรับน้ำหนักเป็นพิเศษ พร้อมปล่อยประจุบวกเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ โดย เอสซีจี เดคคอร์
  • สินค้ากรีน (Green Products) เช่น “ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR” รายแรกในไทย โดย เอสซีจีซี และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท” ที่มีเทคโนโลยี HeatSync ช่วยสะท้อนความร้อนได้ดีและคายความร้อนได้เร็ว โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง

นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน เอสซีจี เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจน การปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้ อีกทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน          เอสซีจี จึงร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ จัดโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ ต่อเนื่อง รวมทั้งจัด Leadership Forum ในงาน ‘ESG Symposium’ ช่วงสิงหาคม – ตุลาคม 2568 ซึ่งเชิญองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) รวมทั้งองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจ ตลอดจนผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Green Transition) และพร้อมแข่งขันระดับโลกท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ได้”

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568 ในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 3,000 ล้านบาท เพื่อดูแลผู้ถือหุ้นต่อเนื่อง โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันที่ 28 สิงหาคม 2568 กำหนดวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 14 สิงหาคม 2568

*******************************************

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

อบต.ควนโพธิ์ ดันโครงการเยาวชนรู้เท่าทันภัย “บุหรี่ไฟฟ้า” จุดประกายสำนึกต้านภัยเงียบในชุมชน

อบต.ควนโพธิ์ ดันโครงการเยาวชนรู้เท่าทันภัย “บุหรี่ไฟฟ้า” จุดประกายสำนึกต้านภัยเงียบในชุมชน

           สตูล – 19-20 ก.ค. 68 องค์การบริหารส่วนตำบลควนโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสตูล ร่วมกับ สภาเด็กและเยาวชนตำบลควนโพธิ์ จัดโครงการ “เยาวชนรุ่นใหม่ รู้เท่าทันภัยบุหรี่ไฟฟ้า” ณ อุทยานแห่งชาติทะเลบัน มีเยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 50 คน เพื่อส่งเสริมความรู้เท่าทัน ลดพฤติกรรมเสี่ยงการใช้สารเสพติดในกลุ่มวัยรุ่น และควบคู่ไปกับการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการควบคุมร้านค้าที่ฝ่าฝืนกฎหมายจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสูบแก่เด็กและเยาวชน

 

          โครงการได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก กองทุนหลักประกันสุขภาพตำบลควนโพธิ์ โดยมี นายบุญมา โดยพิลา นายก อบต.ควนโพธิ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมกล่าวย้ำว่า

 

         “บุหรี่ไฟฟ้าคือภัยเงียบที่กำลังซึมลึกสู่กลุ่มเยาวชน เราต้องร่วมกันสร้างเกราะป้องกันให้เด็ก ๆ รู้เท่าทันก่อนจะสายเกินไป”

         กิจกรรมในครั้งนี้มีทั้งการให้ความรู้โดยวิทยากรเฉพาะทาง กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ เวิร์กช็อปสื่อสร้างสรรค์ และบทบาทสมมุติเพื่อเสริมทักษะการปฏิเสธอย่างมั่นใจ ให้เยาวชนมีพลังในการส่งเสียงและปกป้องตนเองจากภัยใกล้ตัว

 

         การขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องของ อบต.และเครือข่ายสภาเด็กและเยาวชนตำบลควนโพธิ์ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของท้องถิ่นในการเฝ้าระวังภัยบุหรี่ไฟฟ้า ลดการเข้าถึง ลดการใช้ และลดผลกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชน

อัพเดทล่าสุด