Categories
ท้องถิ่น-การเมือง

การแนะนำตัวของผู้สมัครรับเลือกเป็น ‘สว.’

เลือก สว. 67 : ทำไม ‘สว.’ หาเสียงไม่ได้เหมือน ‘สส.’

การแนะนำตัวที่ทำได้เฉพาะในขอบเขตของกฎหมายผู้สมัคร สว. ต้องแนะนำตัวแบบใดจึงไม่ผิดเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ศึกษาหลักเกณฑ์-ขอบเขตการแนะนำตัวทั้งในส่วนผู้สมัครรับเลือก ผู้ช่วยเหลือฯ และ ประชาชนทั่วไป เพื่อให้การเลือก สว. ครั้งนี้ถูกต้อง โปร่งใส และเที่ยงธรรม

          เมื่อได้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา (สว.) แล้ว ผู้สมัครที่ผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติ-ลักษณะต้องห้าม อาจแนะนําตัวเพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกรายอื่นและประชาชนทั่วไปได้รู้จักข้อมูลของตนเอง ตามวิธีการและเงื่อนไขที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนด

 

เหตุใดกฎหมายกำหนดให้ ‘สว.’ ใช้วิธีการแนะนำตัวไม่ใช่การหาเสียง

          ประเด็นดังกล่าว นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้อธิบายไว้ว่า ‘สว.’ ตามรัฐธรรมนูญมีลักษณะต่างจาก ‘สส.’ ที่เป็นสภาของนักการเมือง เป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดย สว. เป็นสภาผู้ทรงคุณวุฒิ มีความเป็นกลางทางการเมือง

 

          กฎหมายจึงกำหนดให้ผู้สมัคร สว. ทำได้เพียงแนะนำตัว นั้นหมายความว่าห้ามหาเสียงโดยปริยาย เพราะเชื่อว่าผู้ทรงคุณวุฒิด้วยกันเองที่สมัครทุกคน มีความดี เด่น ดัง ในสาขาอาชีพของตัวเองเป็นที่ประจักษ์และทราบกันดีในวงการนั้นอยู่แล้ว และด้วยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจะมี วิจารณญานในการเลือกที่ถูกต้องได้เป็นอย่างดีโดยไม่มีการจัดตั้ง ฮั้วกันในการเลือก

 

         “การแนะนำตัว คือ การบอกว่าตัวเองเป็นใคร มีประสบการณ์ในกลุ่มสาขาอาชีพนั้นอย่างไรเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอทั้งการเลือกแบบในกลุ่ม หรือเลือกแบบไขว้” นายแสวงระบุ

 

          ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36 กำหนดให้ ผู้สมัครอาจแนะนำตัวได้ตามวิธีการและเงื่อนไขที่ กกต. กำหนด ทั้งนี้ บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้สมัครจะช่วยเหลือผู้สมัครในการแนะนำตัวจะต้องตามวิธีการและเงื่อนไขที่ กกต. กำหนด ด้วยเช่นกัน

 

           โดยระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 กำหนดให้ บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้สมัครรับเลือก สว. หากประสงค์จะช่วยเหลือผู้สมัครในการแนะนําตัวจะต้องปฏิบัติตามวิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในฐานะผู้ช่วยเหลือผู้สมัคร ซึ่งเป็น บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้สมัครที่ผู้สมัครยินยอมให้ช่วยเหลือแนะนำตัว รวมทั้ง สามี ภรรยา และบุตร ของผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา 


 

         หากมีการแจ้งและเปลี่ยนแปลงชื่อผู้ช่วยเหลือฯ ต้องแจ้งต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนวันดำเนินการ ยกเว้น สามี ภรรยา และบุตร ไม่ต้องแจ้ง

 

       กรณีไม่แจ้งชื่อหรือการเปลี่ยนแปลงชื่อต่อผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนวันดำเนินการ ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดอาจให้แก้ไขได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด หากไม่ดำเนินการอาจนำมาเป็นเหตุสืบสวนหรือไต่สวนได้

 

ข้อห้ามในการแนะนำตัวการสมัครรับเลือก สว. มีดังนี้

  • ห้ามนำสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการแนะนำตัว
  • ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา
  • ห้ามใช้ถ้อยคำรุนแรง/ปลุกระดมก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในพื้นที่
  • ห้ามแนะนำตัวทางทีวี วิทยุ เคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงการให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชน นักข่าว หรือสื่อโฆษณาซึ่งเผยแพร่ผ่านบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล
  • จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบ

 

      กฎหมายกำหนดบทลงโทษผู้สมัครหรือผู้ใดไม่ปฏิบัติตามวิธีการหรือเงื่อนไขเกี่ยวกับการแนะนําตัว ‘ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั่นมีกำหนด 5 ปี’

 

ท้ังนี้หากมีข้อสงสัยในการแนะนำตัวของผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา

         สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2567 รวมถึงคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขดำที่ 753/2567 หมายเลขแดงที่ 971/2567 และคำพิพากษาศาลปกครอง คดีหมายเลขดำที่ 771/2567 หมายเลขแดงที่ 972/2567

 

         หรือ ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง https://www.ect.go.th/ect_th/th/db_119_ect_th_6/2967 และสอบถามได้ที่สายด่วน 1444

 

#สว67 #เลือกตัวแทนประชาชน #20กลุ่มอาชีพร่วมใจขับเคลื่อนประเทศไทยไปพร้อมกัน

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ศรชล.สตูลปลูกต้นกล้า รุ่นที่2  รู้อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

ศรชล.สตูลปลูกต้นกล้า รุ่นที่2  รู้อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งและมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน

          นักเรียน  นักศึกษา  ตลอดจนเยาวชน นับเป็นกลไกสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากร  ทางทะเลและชายฝั่ง  การสร้างองค์ความรู้และปลูกจิตสำนึก รวมทั้งการมีส่วนร่วมนั้น

         วันที่  29 พ.ค.2567  นาวาเอกแสนย์ไท บัวเนียม รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล หรือ  ศรชล.สตูล  เป็นประธานในพิธีเปิด กิจกรรม “สร้างความรับรู้ในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล” เพื่อขับเคลื่อนการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้เกิดความยั่งยืน ครั้งที่2 ในการพัฒนาองค์ความรู้และปลูกจิตสำนึกในการรักษาทรัพยากรทางทะเลของชาติ ตลอดจนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในพื้นที่ให้เกิดความยั่งยืน 

          โดยมีนาวาเอก รัฐพล แก้วกระจาย หัวหน้าศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดสตูล ศรชล.ภาค 3  รายงานและ ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งทรัพยากรป่าชายเลน และการนำผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ ลงพื้นที่เยี่ยมชมศึกษาธรรมชาติของทรัพยากรป่าชายเลนตำมะลัง และร่วมกันปลูกป่าชายเลน ณ ศูนย์เรียนรู้ธรรมชาติป่าชายเลนตำมะลัง กิจกรรมเก็บขยะ   ชายฝั่งและปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำกุ้ง จำนวน 2,000 ตัว ที่ บริเวณท่าเทียบเรือตำมะลัง ซึ่งได้รับการสนับสนุน   ต้นพันธุ์กล้าไม้และสถานที่ปลูกป่าชายเลน จากศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนที่  24 (ตำมะลัง สตูล) และได้รับการสนับสนุนพันธุ์สัตว์น้ำ จากศูนย์วิจัยและพัฒนาประมงทะเลสตูล ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมฯ เป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนสตูล และเจ้าหน้าที่หน่วยงานใน ศรชล.จังหวัดสตูล จำนวน 50  คน

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ทกจ.กระบี่ประชุมความพร้อมยกทัพ นักกีฬาผู้สูงอายุกระบี่ร่วม”เมืองกาญจน์เกมส์ “

ทกจ.กระบี่ประชุมความพร้อมยกทัพ นักกีฬาผู้สูงอายุกระบี่ร่วม”เมืองกาญจน์เกมส์ “

              วันที่ 27 พฤษภาคม 2567  เวลา 13.30 น.  ณ ห้องประชุม ชั้น 2 สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่    นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในการประชุม พร้อมด้วยตัวแทนนักกีฬาผู้สูงอายุ เจ้าหน้าที่ของจังหวัดกระบี่ เข้าร่วมประชุม เพื่อเตรียมความพร้อมและชี้แจงรายละเอียดก่อนเดินทางเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาและนันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 16 ประจำปี 2567 “เมืองกาญจน์เกมส์” ระหว่างวันที่ 18 – 21 มิถุนายน 2567 ณ จังหวัดกาญจนบุรี โดยจังหวัดกระบี่ส่งนักกีฬาและเจ้าหน้าที่จำนวน 139 ท่าน เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้มีโอกาสได้ออกกำลังกายและเล่นกีฬาหรือกิจกรรมนันทนาการเพื่อสุขภาพ โดยใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้สูงอายุได้เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนทุกวัยในสังคมได้เป็นอย่างดี โดยจัดการแข่งขันทั้งหมด 11 ชนิดกีฬา ได้แก่ กรีฑา กอล์ฟ แบดมินตัน เปตอง วู้ดบอล หมากรุกไทย ตะกร้อ ลีลาศ ประกวดแอโรบิกมวยไทย ประกวดร้องเพลงคาราโอเกะ และเกทบอล

………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น

สตูล – ตำรวจทุ่งหว้า รวบสาวรุ่นติดยา ตรวจประวัติพบคดีบัญชีม้า

 ตำรวจทุ่งหว้า รวบสาวรุ่นติดยา ตรวจประวัติพบคดีบัญชีม้า

          (20 พ.ค.67) เวลาประมาณ 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ทุ่งหว้า ได้เดินทางไปยังขนำในสวนยางพารา ในพื้นที่ ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า จว.สตูล  ตามที่ได้สืบทราบมาพบหญิงวัยรุ่นพาเด็กอายุประมาณ 4 ปี มานั่งอยู่บริเวณขนำ สภาพเด็กน่าสงสาร นั่งหิวโหย เสื้อผ้าสกปรก ผิวหนังถูกยุงกัด โดยหญิงวัยรุ่นลักษณะคล้ายคนติดยาเสพติด  เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้สอบถามข้อมูล ทราบชื่อคือ นางสาวเกตุแก้ว หรือ ฟ้า (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี  ที่อยู่ ม.1 ต.ทุ่งยาว อ.ปะเหลียน  จ.ตรัง ท่าทางมีพิรุธจึงได้ขอทำการตรวจค้นกระเป๋า พบ กระสุนปืน .22 จำนวน 1 นัด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอทำการตรวจค้นขนำ และบริเวรโดยรอบขนำ พบยาบ้า 1 เม็ด ถูกโยนทิ้งไว้บนพื้นใกล้กับจุดที่ น.ส.เกตุแก้ว ฯ นั่งอยู่ และพบอาวุธปืนยาว ใช้กระสุนลูกแก้ว ทำจากท่อ PVC  จำนวน 1 กระบอก ลูกแก้ว จำนวน 53 ลูก และอุปกรณ์การเสพ จำนวน 1 ชุด ภายในขนำ

       โดยกล่าวหาว่า  มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต , มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อเสพโดยไม่ได้รับอนุญาต , เสพยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (แอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย

          จากนั้นได้ตรวจสอบประวัติ พบมีหมายจับของศาลจังหวัดเลย  ในคดีเกี่ยวกับการเปิดบัญชีม้า จึงได้ควบคุมตัวมายัง สภ.ทุ่งหว้า ทำบันทึกจับกุมนำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีต่อไป ส่วน เด็ก 4 ขวบ เนื่องจากเด็กขาดอาหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดหาอาหาร ขนม อาบน้ำแต่งตัวและจัดหาของใช้จำเป็นให้กับเด็ก และได้ประสานความร่วมมือกับ พม.จังหวัดสตูล และ บ้านพักเด็กจังหวัดสตูล เพื่อรับตัวเด็กคนดังกล่าวไปดูแล จากนั้น พ.ต.ท.ภนภัค ภานุเดชากฤษ สั่งการให้ชุดสืบสวน รีบนำเด็กส่งบ้านพักเด็กจังหวัดสตูลเป็นการด่วน

……………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น

สตูล – เผาเรือกลางเกาะหนีความผิด

สตูลผสมกำลังเปิดปฏิบัติการยุทธการฟ้าสางอันดามัน รอบ 2   นำเรือตรวจการณ์ 3 หน่วยงานทางน้ำ ขนกำลังเกือบ 50  นาย ลงเกาะเร่งตรวจสอบเรือโดนเผา พบผู้ต้องสงสัยไหวตัวหลบหนี   

             วันที่ 24 พ.ค.2567 น.อ.แสนย์ไท บัวเนียม รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล (ศรชล.สตูล) พร้อมกำลังตำรวจน้ำสตูล ตม.สตูล ตชด 436 สตูล ตำรวจ สภ.เมืองสตูล ทหารหมวดปืนเล็ก ร้อยร 5021 และฝ่ายปกครองอำเภอเมืองสตูล 48 นายสนธิกำลังตรวจสอบคดี “เผาเรือ” ที่เป็นเรือเป้าหมายน่าเชื่อได้ว่ากระทำความผิดกฎหมาย ที่เกาะยาว ต.ปูยู อ.เมือง จ.สตูล

            โดยเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบเรือต้องสงสัย ภายใต้ยุทธการฟ้าสางอันดามัน พบเรือต้องสงสัยแล่นอยู่บริเวณน่านน้ำเกาะยาว หลังเรือจอดเทียบฝั่งที่เกาะยาว จึงเข้าตรวจสอบเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2567 ก่อนถูกขัดขวาง เกิดการเขวี้ยงปาก้อนหินใส่เรือเจ้าหน้าที่ขณะเข้าตรวจสอบ จนเจ้าหน้าที่ต้องถอนกำลังออก ลอยเรือตรวจสอบอยู่ภายนอกกระทั่งพบมีการถอดเครื่องยนต์เรือ เหลือแต่ตัวเรือก่อนเผาเรือไฟลุกควันโขมง ในช่วงเช้าวันที่(23 พ.ค.2567)

            จากนั้น เจ้าหน้าที่นำเรือตรวจการตำรวจน้ำ 521 เรือตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสตูล1 และเรือตรวจการของ ศรชล. เข้าเทียบฝั่งเกาะยาว เกาะที่เกิดเหตุดังกล่าว ทางนายอำเภอเมืองสตูล มอบหมายให้ฝ่ายปกครองของอำเภอเมืองสตูล และฝ่ายป้องกันจังหวัดสตูล ประสานงานกับทางผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ก่อนเข้าตรวจสอบพบร่องรอยสภาพเรือถูกเผาไหม้ ช่วงท้ายเรือจนเกิดรอยรั่วไม่สามารถนำเข้าฝั่งแผ่นดินใหญ่ได้

           ด้านนายยัสมี หมานสัน ผญบ.1 เกาะยาว ต.ปูยู อ.เมือง จ.สตูล ผู้นำท้องที่อยู่ประจำบนเกาะแห่งนี้ พร้อมที่จะให้ความร่วมต่อเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย และพร้อมขึ้นไปบนฝั่งเพื่อแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสตูล และรวมรวบรายชื่อบุคคลที่ขัดขวาง การทำงานของเจ้าหน้าที่ส่งให้ตรวจสอบ

          ซึ่งจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ พบว่าผู้ต้องสงสัยที่เป็นเจ้าของเรือลำดังกล่าวนั้น เป็นชาวมาเลเซีย ที่มาอาศัยอยู่บนเกาะยาวแห่งนี้ และมีครอบครัว มีภรรยาเป็นคนบนเกาะยาว ทั้งคนและเรือเป็นที่น่าสงสัย พบมีประวัติทำสิ่งผิดกฎหมาย ในน่านน้ำทางทะเลของจังหวัดสตูล และจากสาเหตุการเผาเรือลำนี้ น่าเชื่อได้ว่า เจ้าของเรือกลัวมีความผิด และทางเจ้าหน้าที่ต้องการที่จะนำเรือลากไปตรวจสอบบนฝั่ง จึงเร่งเผาทำลายหลักฐาน เรือลำนี้ แต่สภาพอากาศไม่เป็นใจ มีฝนตกลงมาทำให้เรือเสียหายช่วงท้ายเรือเท่านั้น

         ด้าน น.อ.แสนย์ไท บัวเนียม รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลจังหวัดสตูล (ศรชล.สตูล) กล่าวหลังได้พูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่ ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวพบว่า เป็นปัญหาจากคนกลุ่มหนึ่งที่ ขัดขวางการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โดยการเข้ามาในวันนี้เพื่อตรวจสอบรายละเอียดของข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ของรัฐในเบื้องต้นนี้ก็คือ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วย และคนในพื้นที่ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่รัฐส่วนที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการต่อไป ถือเป็นการมาเยี่ยมเยียนมาดูแลในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งก็ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการศรชล.จังหวัดสตูล เป็นการสื่อให้ผู้กระทำความผิดได้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มาในวันนี้มีข้อมูลด้านการข่าวครบถ้วน

          ฉะนั้นผู้ใดที่จะกระทำผิดที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติทางทะเล หรือผลประโยชน์ของชาติทางภาพรวม ก็ขอให้ยุติ เพราะจะต้องมีการดำเนินการป้องกันปราบปราม เพื่อคงสภาพผลประโยชน์ของชาติต่อไป

         สำหรับคดีนี้ ขั้นแรกเจ้าของพื้นที่จะต้องแจ้งความดำเนินคดีเพราะเกิดเหตุวางเพลิง หลังจาก เจ้าหน้าที่ส่วนที่เกี่ยวข้องจะทำการสืบสวน สอบสวน หาคนกระทำผิดต่อไป
สำหรับเรือลำดังกล่าว เป็นหางยาวทำด้วยไฟเบอร์กล๊าซ เครื่องยนต์ติดท้ายจำนวน 2 เครื่อง ขนาดกว้างประมาณ 1.5 เมตร ยาวประมาณ 5 เมตร สีฟ้าสลับขาว โดยเรือลักษณะดังหล่าวนี้แล่นเร็ว
………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ทกจ.กระบี่ พร้อม Staff เข้าพบ ผวจ.กระบี่ สรุปความพร้อมจัดงาน”Krabi Gastronomy Route”

ทกจ.กระบี่ พร้อม Staff เข้าพบ ผวจ.กระบี่ สรุปความพร้อมจัดงาน”Krabi Gastronomy Route”

           วันที่ 23 พฤษภาคม 2567  เวลา 13.30 น. นายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ พร้อมด้วยนายจิรวัฒน์ ปลอดวงศ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดกระบี่ และทีมบริษัทสานฟ้า เข้าพบนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ และ พ.ต.อ.สมเด็จ สุขการ นายกเทศมนตรีเมืองกระบี่ รวมถึงได้พูดคุยร่วมกับตัวแทนผู้ประกอบการร้านอาหาร จำนวน 4 ร้าน คือ ร้านอาหารอัญชลี ร้านปากน้ำซีฟู้ด ร้านพอลเบเกอรี่ และร้านโบทานี่ คาเฟ่ เพื่อปรึกษาหารือการเตรียมการจัดโครงการ “Krabi Gastronomy Route เส้นทางสายกิน เต็มอิ่มด้วยความอร่อย” ซึ่งจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 28 – 30 มิถุนายน 2567 ณ ลานประติมากรรมปูดำ จังหวัดกระบี่ เพื่อให้การดำเนินงานโครงการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ในการนำเสนอเมนูสร้างสรรค์จากวัตถุดิบอาหารท้องถิ่นในจังหวัดกระบี่ การนำเสนอเส้นทางอาหารของจังหวัดกระบี่ที่มีเสน่ห์และน่าสนใจ เชื่อมโยงความหลากหลายทางวัฒนธรรม และเอกลักษณ์อาหารของจังหวัดกระบี่ รังสรรค์ให้มีความเป็นอัตลักษณ์ เพื่อเผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวรับรู้และเดินทางมาสัมผัสเส้นทางอาหารของโครงการฯ ส่งเสริมและสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับพื้นที่จังหวัดกระบี่ไปสู่ความยั่งยืนต่อไป

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-สามีภรรยาสู้ชีวิต!  ขายส้มตำเลี้ยงชีพ  เก็บสวนหลังบ้านเป็นเครื่องเคียง ลูกค้าชมหวานกรอบไร้สารพิษ  กุ้งทะเลร้าตัวโตอร่อยแห่อุดหนุนให้กำลังใจ

สตูล-สองสามีภรรยาสู้ชีวิต!  ขายส้มตำเลี้ยงชีพ  เก็บสวนหลังบ้านเป็นเครื่องเคียง ลูกค้าชมหวานกรอบไร้สารพิษ  กุ้งทะเลร้าตัวโตอร่อยแห่อุดหนุนให้กำลังใจ

           ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันไป  ตราบใดที่ 2 มือสองเท้ายังมีขอเพียงไม่ยอมแพ้  เหมือนอย่างครอบครัวสองสามีภรรยาชาวสตูลนี้

 

          หลังรักษาตัวจนหายเจ็บป่วย จากโรค(ลิ้นหัวใจ และไทรอยด์ทั้งคู่)  ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา  ต้องหยุดรักษาตัว  สองสามีภรรยาก็สามารถออกทำมาหากินได้  เดินหน้าทำอาชีพที่รักและถนัด  ด้วยการเปิดร้านส้มตำไก่ย่าง  คอดียะห์  ร้านเพิงเล็กๆ  ริมถนน สายแยกควนสตอ-วังประจัน ตั้งอยู่หมู่ที่ 8  ตำบลควนสตอ  (เลยสามแยกควนสตอเพียง 1 กิโลเมตรซ้ายมือ) ก็จะพบกับร้านส้มตำของคอดียะห์  ร้านนี้ดูผิวเผินอาจจะเป็นร้านเล็กๆ ธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา

 

          เพราะผักและเครื่องเคียงเกือบทุกชนิดที่นี่   ใช้ปรุงเป็นเมนูส้มตำจะนำมาจากสวนครัวหลังบ้านที่ก๊ะคอดียะห์  ที่เป็นคนลงมือปลูกด้วยตัวเองพร้อมยืนยันว่าผักภายในสวนนี้ปลอดจากสารพิษ 100%   ไม่ว่าจะเป็น ถั่วฝักยาว มะเขือ พริกสด  ผักบุ้ง  คะน้า  และผักอื่นๆอีกมากมายที่ปลูกเป็นส่วนผสมและเป็นผักเครื่องเคียงสำหรับใช้ปรุงในการทำเมนูส้มตำขายเลี้ยงปากท้อง

 

          ลูกค้าที่มาทานส้มตำที่ร้านนี้  ยังสามารถที่จะเดินเก็บผักมารับประทานเองได้   หรือจะให้แม่ค้าไปเก็บผักในสวนมาเป็นผักเครื่องเคียงทานกับส้มตำ   ก็จะได้รสชาติที่หวานกรอบอร่อย  และเชื่อมั่นได้ว่ารับประทานผักที่ร้านส้มตำไก่ย่างนี้แล้วจะปลอดภัยจากสารพิษตกค้างอย่าง 100%   เพราะผักทุกชนิดคุณคอดียะห์ปลูกเองกับมือโดยมีสามีเป็นผู้ช่วย

 

          นอกจากนี้เมนูส้มตำปลาร้าของที่ร้านนี้ก็จะใช้กุ้งทะเลทำเป็นกุ้งร้าแทนปลา  เป็นสูตรใหม่ที่ก๊ะคอดียะห์คิดสูตรขึ้นมาเอง   ได้รสชาติกลมกล่อมอร่อยถูกใจลูกค้าไม่น้อย   และยังสร้างจุดขายให้กับทางร้านเล็กๆ ได้รับประทานกันด้วย

 

          นางบีเซาะ  เกปัน  ลูกค้าบอกว่า  มาทานครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจกับร้านนี้   นอกจากรสชาติที่อร่อยเหมือนต้นตำรับมาจากอีสาน  เนื่องจากแม่ค้าเป็นคนพื้นเพจังหวัดบุรีรัมย์  แต่มาตั้งรกรากเป็นสะใภ้มุสลิมที่นี่  ยิ่งสร้างความมั่นใจและประทับใจกับผักที่ปลูกขึ้นมาเอง   ให้กับลูกค้าได้ทานอย่างปลอดภัยด้วยรสชาติหวานกรอบอร่อย  และยิ่งประทับใจในตัวแม่ค้าที่เป็นคนสู้ชีวิต  แม้จะเจอมรสุมเข้ามาก็ไม่ย่อท้อก็อยากจะสนับสนุนและอุดหนุนเชิญชวนให้คนมากินส้มตำที่นี่ที่อร่อยและมีผักปลอดภัยไว้บริการในราคาย่อมเยา

 

          นายมะอุเส็น แซะอามา   สมาชิกอบต.ควนสตอ บอกว่า จะมาอุดหนุนลูกบ้านรายนี้อยู่เป็นประจำถ้ามีโอกาส  เพราะอดีตเคยปลูกผักปลอดสารพิษขาย  เมื่อล้มป่วยลงทั้งสองคนสามีภรรยาก็หยุดไปพักใหญ่  และกลับมาค้าขายอีกก็อยากจะมาอุดหนุนและอดชื่นชมไม่ได้ถึงฝีมือการปรุงอาหารรวมทั้งผักที่ปลอดภัยนำมาขายให้กับลูกค้าอยากให้ทุกคนมาช่วยกันอุดหนุนให้เยอะๆเพื่อเป็นกำลังใจให้กับเขาทั้งสอง

         นอกจากผักที่สดหวานกรอบแล้ว  นางคอดียะห์   ยังมีกุ้งทะเลร้า  สูตรที่คิดขึ้นเองใช้แทนปลาร้า  สร้างความแปลกใหม่ให้กับสูตรส้มตำของที่นี่  โดยลูกค้าก็จะได้รับประทานกุ้งร้า ตัวโตในราคาย่อมเยา   โดยจะขายเป็นเมนูส้มตำกุ้งร้า เพียงจานละ 30 บาท และหากเป็นเมนูส้มตำไข่เค็มจานละ 40 บาทนอกจากนี้ยังมีเมนู ส้มตำไทย, ตำมะม่วงและตำซั่ว,  รวมทั้งไก่ย่างไม้ละ 10 บาท

          นางคอดียะห์  เหมสลาหมาด  อายุ 50 ปี  บอกว่า  เดิมทีตนมีอาชีพขายส้มตำไก่ย่างมานานกว่า 30 ปีหลังจากที่ล้มป่วยลงได้หยุดไป 5 ปีและพึ่งที่จะกลับมาขายเหมือนเดิมเพราะไม่รู้จะไปทำอาชีพอะไรและเห็นว่าตัวเองมีความถนัดในอาชีพนี้เลยตั้งใจกับสามีว่าจะช่วยกันขายส้มตำไก่ย่างและใช้ผักที่ชื่นชอบในการปลูกไว้หลังบ้านมาเป็นผักเครื่องเคียงให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ  ได้ทานกันอย่างจุใจในราคาย่อมเยา  โดยเริ่มต้นที่ราคา 30 บาท  ในเมนูส้มตำธรรมดาและ 40 บาท  ในเมนูส้มตำไข่เค็มและส้มตำมะม่วง รวมทั้งตำซั่ว  ไก่ย่างไม้ละ 10 บาทซึ่งเมนูมีไม่มากนักทำค้าขายพออยู่ได้กัน 2 คนสามีภรรยาเพราะผักส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักในส่วนตัวมาปรุงเป็นเมนูส้มตำ

          ส่วนกุ้งทะเลที่นำมาเป็นกุ้งร้านั้น  ได้ที่สูตรขึ้นมาเองทำเหมือนกับปลาร้าแต่เปลี่ยนมาเป็นกุ้งทะเลแทนก็รสชาติอร่อยดีให้ลูกค้าได้ทาน  หลายคนก็ชื่นชอบในความหอมกลมกล่อม

          โดยทางร้านจะเปิดขายทุกวันตั้งแต่เที่ยงไปจนกว่าของจะหมด  โดยติดต่อสอบถามได้ที่โทร  080-608-2176 ,  090-229-9740

……………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล – หอยกะพง สัตว์น้ำหาได้ทั้งปี  สร้างอาชีพเสริมผู้สูงวัยริมทะเลที่จังหวัดสตูล

หอยกะพง สัตว์น้ำหาได้ทั้งปี  สร้างอาชีพเสริมผู้สูงวัยริมทะเลที่จังหวัดสตูล

           ท้องทะเลในพื้นที่อำเภอละงู  จ.สตูล  นับเป็นท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์  ชาวบ้านในพื้นที่สามารถหาสัตว์น้ำได้อย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่าจะเป็น  กุ้ง  หอย  ปู  ปลา  โดยเฉพาะหอย เรียกได้ว่ามีครบ ทั้งหอยหลอด  หอยเสียบ  รวมถึง หอยกาบง  หรือ หอยกะพง  ที่ชาวบ้านสามารถหาได้ตลอดทั้งปี  หากขยันก็สร้างรายได้ให้ชาวบ้านตลอดทั้งปีเช่นกัน 

 

          ที่บริเวณชายหาดหัวหิน  ต.ละงู  อ.ละงู  จ.สตูล   นายณรงชัย  อยู่ล่าย  อายุ 62 ปี และนางปราณี  อยู่ล่าย  หรือ มะลี อายุ 65 ปี  สองสามีภรรยาวัยเกษียรณช่วยกันลวกหอยกะพงที่ลูกสาวหามาให้ตั้งแต่เช้ามืด   โดยใช้เตาฟืนในการลวกหอยจำนวนมากนี้  ก่อนนำไปให้ชาวบ้าน 4-5 คน ที่มารับจ้างแกะเปลือกออกด้วยความชำนาญ

 

          นางรอฉ๊ะ  สายสว่าง  อายุ 65 ปี ชาวบ้านหัวหิน   กล่าวว่า  ทุกๆวันหลังเสร็จภารกิจงานบ้านก็จะนำมีดและกะละมังใส่หอย  มานั่งแกะหอยที่ผ่านการลวกแล้ว  โดยแกะเปลือกออกนำขนหอยออก  รับค่าจ้างกิโลกรัมละ 10 บาท  หนึ่งวันจะได้ประมาณ 50-100 บาท  แล้วแต่ปริมาณหอยที่มี 

 

          นางปราณี  อยู่ล่าย  หรือ มะลี อายุ 65 ปี  กล่าวว่า  ทุกๆวันจะได้หอยมาไม่เท่ากันหากน้ำลดก็หาได้เยอะ  เฉลี่ยอยู่ที่ 30-40 กิโลกรัม    หากไม่มีคลื่นลมจะหาได้ทุกวัน  สังเกตช่วงหอยผอมจะหยุดหา  โดยออกเรือไปหาหอยห่างจากฝั่งประมาณ 2 กิโลเมตร  เมื่อได้หอยมาแล้วจะลวกโดยใช้ไฟแรงให้น้ำเดือดก่อนจุ่มหอยลงไปประมาณ 2-3 นาที  อย่าให้มีฟองขาว  เมื่อหอยอ้าปากก็ยกขึ้นได้แล้ว  ในแต่ละวันจะมีรายได้หลังหักค่าจ้างวันละ 1,000  กว่าบาท

           ด้านนายจำรัส  ฮ่องสาย  นายกอบต.ละงู  กล่าวว่า  หอยกะพงมีรสชาติอร่อย  เพราะความสดเพิ่งขึ้นจากทะเลแล้วนำมาลวกเลย  หอยช่วงฤดูนี้จะอ้วนเพราะกินแพรงตอน  สามารถไปทำได้หลายเมนูอย่าง  ลวกจิ้ม  ยำ ผัด แกงต่างๆ  หากทำแกงก็ผ่าหอยสดๆก่อนนำไปแกงจะได้รสชาติที่อร่อย  สามารถเป็นรายได้เสริมเพราะหอยนี้มีตลอดทั้งปี  แต่จะมีช่วงฤดูหอยผอม  และหอยจะอ้วนในช่วงมรสุม  นับเป็นสิ่งที่ดีผู้สูงอายุก็สามารถรับจ้างแกะหอยโดยใช้เวลาวันละ 2-3 ชั่วโมง ได้เงินวันละ 100 กว่าบาท

 

          นายก อบต.ละงู  กล่าวอีกว่า  พื้นที่ตำบลละงู  มีชายหาดหัวหิน  ชายหาดบางศิลา  มีท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์เพราะชาวบ้านช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ    ชาวบ้านสามารถหาหอย หรือสัตว์น้ำชนิดอื่นๆได้อย่างต่อเนื่อง  หอยหลอดจะมีเยอะช่วง พฤศจิกายน – มีนาคม ของทุกปี  นอกจากนี้ยังมีหอยเสียบ  หอยแครง ส่วนหอยกะพงต้องออกเรือไปนิดหน่อยก็สามารถหาได้ทั้งปีอาจจะว่างแล้วบ้างในช่วงฤดูหอยผอม 

 

        สำหรับหอยสดขายในราคากิโลกรัมละ 15 บาท  หอยลวกแล้วขายทั่วไปกิโลกรัมละ 60 บาท  ส่งขายโรงงานในราคากิโลกรัมละ 50 บาท  ส่วนเปลือกหอยที่มีจำนวนมาก สามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยใส่ต้นปาล์มได้ สนใจติดต่อสอบถาม หรือ สั่งซื้อหอย  โทร  065-8063285  มะลี   

…………………..

อัพเดทล่าสุด
Categories
ท้องถิ่น-การเมือง

สตูล – ผู้นำท้องถิ่นขับเคลื่อนสร้างสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมสายน้ำ  ลำคลอง   หลังพบคุณภาพน้ำเปลี่ยนไป  ผ่านกิจกรรมคลองสวยน้ำใส 

สตูล-ผู้นำท้องถิ่นขับเคลื่อนสร้างสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมสายน้ำ  ลำคลอง   หลังพบคุณภาพน้ำเปลี่ยนไป  ผ่านกิจกรรมคลองสวยน้ำใส 

            ที่ริมชายฝั่งคลองมำบัง  หมู่ที่ 7 ต.คลองขุด อ.เมือง จ.สตูล  เทศบาลตำบลคลองขุด ร่วมกับ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล  จัดกิจกรรมคลองสวยน้ำใสขึ้น  เพื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างจิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์  โดยมีชาวบ้านในชุมชนริมคลองมำบังเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก

 

           พร้อมกันนี้ได้มีการจัดฐานการเรียนรู้ชีวิตสัมพันธ์คนกับน้ำ โดยเชิญวิทยากรที่เชี่ยวชาญให้ความรู้การป้องกันตัวเองและบุตรหลานขณะเล่นน้ำ หรือเมื่อเกิดภัยจากน้ำ โดยเฉพาะการใช้ชูชีพที่ถูกต้องและเหมาะสม  เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อทุกคนในครอบครัวและการช่วยเหลือผู้อื่นเบื้องต้นหากพบเห็นว่าเกิดภัยจากการตกน้ำ 

 

          หลังจากนั้นผู้เข้าร่วมกิจกรรมจะได้ร่วมปล่อยพันธุ์ปลาตะเพียน และปลาบ้า  จำนวน 11,000 ตัว  แล้ว ยังได้ร่วมนั่งเรือคายัค  สัมผัสธรรมชาติสองฝั่งข้างทางตลอดสายน้ำคลองมำบัง   ในพื้นที่เทศบาลตำบลคลองขุดที่มีระยะทางยาวประมาณ 2 กิโลเมตรแล้ว   ยังได้ร่วมกิจกรรมเก็บขยะ และร่วมกิจกรรมฐานเรียนรู้ต่าง ๆ ที่พร้อมจะให้ความรู้คือ  ฐานการเรียนรู้การตรวจสุขภาพน้ำเบื้องต้น  , ฐานการเรียนรู้ที่ระบบนิเวศของน้ำลำคลองและการดูแลรักษาแม่น้ำลำคลอง, ฐานการเรียนรู้ขยะและของเสียจากครัวเรือน 

           นายสุนทร พรหมเมศร์   นายกเทศมนตรีตำบลคลองขุด  กล่าวว่า  เจตนารมณ์ที่จัดโครงการนี้อยากให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของน้ำที่เราใช้อุปโภค บริโภค และแหล่งที่อยู่ของสัตว์น้ำ เพื่อให้ชาวบ้านได้หาปลาหากุ้งหาหอย ซึ่งกิจกรรมในครั้งนี้ ทางเทศบาลคลองขุดได้เข้าร่วมกับอบจ.สตูล และให้พี่น้องประชาชนได้ตระหนักถึงการบำบัดน้ำก่อนที่จะปล่อยลงคลอง 

 

           สำหรับคลองมำบัง   เป็นพื้นที่ไหลผ่านตั้งแต่ ต.ควนโดน อ.ควนโดน  ต.ฉลุง ต.ควนขัน ต.คลองขุด อ.เมืองสตูล   เป็นสายน้ำที่หล่อเลี้ยงชุมชนมา  ทต.คลองขุด ยังมีแนวคิดที่จะต่อยอดให้เกิดการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่คลองขุดด้วย

 

          นายปรีชา  พูนสวัสดิ์   ประธานชุมชนบ้านเอื้ออาธร    กล่าวว่า   การเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ถือว่าเป็นโครงการที่ดีเนื่องจากว่าปัจจุบันแม่น้ำลำคลองขาดการดูแลเอาใจใส่   ธรรมชาติทำให้ตื้นเขิน   พันธุ์ปลาเกือบจะสูญพันธุ์ไปเยอะ  โครงการนี้เทศบาลตำบลคลองขุด  กับอบจ.สตูล   จัดเพื่อปลูกจิตสำนึกและกระตุ้นในการอนุรักษ์แม่น้ำลำคลอง     อนาคตที่อยากได้คือ   น้ำที่ใช้ประโยชน์ได้  เป็นที่อยู่ของพันธุ์ปลาที่เพิ่มขึ้นและหากสิ่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวมาร่วมกันพัฒนาก็จะยิ่งดี

         

          คลองมำบัง   เป็นคลองสำคัญในจังหวัดสตูล ที่เกิดจากลำน้ำสายเล็ก ๆ บริเวณเทือกเขา อำเภอควนกาหลง  เมืองสตูล ไหลผ่านอำเภอควนโดน อำเภอเมืองสตูล  ก่อนไหลออกทะเลนั้นในอดีตเราสามารถนำน้ำจากลำคลองมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรง    ซึ่งต่างจากปัจจุบันที่เกิดปัญหาในด้านของคุณภาพน้ำ  ทำให้ต้องมีการอนุรักษ์ และสร้างความตระหนัก 

………………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น ท่องเที่ยว-กีฬา

สตูล – นักโบราณคดีลงเก็บหลักฐาน  ถ้ำเขาค้อม  หลังเจอชุดกระดูกสภาพสมบูรณ์ในสุสานมนุษย์โบราณ   พร้อมยอมรับว่า   สตูลนับว่าเป็นแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญ

นักโบราณคดีลงเก็บหลักฐาน  ถ้ำเขาค้อม  หลังเจอชุดกระดูกสภาพสมบูรณ์ในสุสานมนุษย์โบราณ   พร้อมยอมรับว่า   สตูลนับว่าเป็นแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญ

         วันที่ 16 พ.ค.2567   นักโบราณคดี จากสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา พร้อมทีมงานและทีมนักศึกษากว่า 10 คน ลงเก็บร่องรอยและหลักฐานทางโบราณคดีภายในถ้ำเขาค้อม  หมู่ที่ 10 ต.ควนกาหลง  อ.ควนกาหลง  จ.สตูล ซึ่งมีทางที่ว่าการอำเภอควนกาหลง ประชาชนชาวควนกาหลง ร่วมสังเกตการณ์   สำหรับถ้ำแห่งนี้ตั้งอยู่ด้านหลังของวิทยาลักเกษตรและเทคโนโลยีสตูลติดกับอ่างเก็บน้ำหล่อเลี้ยงชาวบ้าน

         

          หลังได้รับแจ้งว่านายกำพลศักดิ์  สัสดี  นักสำรวจถ้ำและอาสากู้ภัยป่าภูเขา และคณะอาจารย์ของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสตูลว่าหลังได้สำรวจร่องรอยภายในถ้ำเขาค้อม   ซึ่งห่างจากปากถ้ำไม่มากนัก พบโพรงถ้ำขนาดใหญ่คล้ายหลุมยุบและด้านในชั้นดินยังพบเศษโครงกระดูกมากมายคล้ายสุสาน  พบเครื่องมือยุคหิน และกระดูกหน้าแข้ง กระดูกซีโครง และที่สำคัญ กระดูกฟันกรามล่างที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ อยู่ปะปนกับเปลือกหอยทับถมในชั้นดินจำนวนมาก  ยิ่งขุดยิ่งเจอนั้น  เพื่อให้ทีมนักโบราณคดีเข้าตรวจสอบเพื่อที่จะได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือ สถานที่เรียนรู้ต่อไป หากเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญจริง ๆ

           ด้านน.ส.เพลงเมธา ขาวหนูนา นักโบราณคดีชำนาญการ สำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา  กล่าวว่า  การเดินทางมาในครั้งนี้มาเพื่อเก็บข้อมูลในเบื้องต้นเพื่อนำมาวิเคราะห์ว่าเป็นอย่างไร   โดยวันนี้ได้มาเก็บสภาพแหล่งที่พบและหลักฐานทางโบราณคดีที่พบภายในถ้ำว่ามีอะไรบ้าง   แล้วนำไปวิเคราะห์ข้อมูลอีกครั้ง  การเจอโบราณวัตถุในช่วงสมัยนั้นก็สามารถที่จะบ่งบอกได้ว่าเป็นยุคไหน   อย่างเช่น  ขวานหิน  หรือ  เครื่องมือ ที่ใช้ที่เป็นภาชนะดินเผา

 

          สำหรับพื้นที่ตรงนี้เบื้องต้นอยากจะขอให้มีการปิดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเข้ามาทำลาย  สำหรับการตรวจสอบใช้เวลากี่วันนั้น   วันนี้เป็นเพียงเบื้องต้นในการตรวจสอบ  ต้องมีการประเมินว่าต้องทำขั้นตอนอะไรต่อไป  โดยวัตถุที่เก็บไปในครั้งนี้จะนำไปวิเคราะห์ที่ศิลปากรที่ 11 จังหวัดสงขลา

 

          สำหรับจังหวัดสตูลนับว่าเป็นแหล่งก่อนประวัติศาสตร์ที่สำคัญมาก ๆ มักจะพบเจอโบราณวัตถุค่อนข้างเยอะพร้อมขอฝากในส่วนของแหล่งโบราณคดี  หากพี่น้องประชาชนเจอโบราณวัตถุสามารถแจ้งได้ที่ศิลปากรที่ 11 สงขลายินดีที่จะเข้ามาตรวจสอบ  เพราะอยากให้ทุกคนช่วยกันอนุรักษ์รักษาเป็นมรดกของชาติต่อไป

 

…………………………………………………………

อัพเดทล่าสุด