Categories
ข่าวทั่วไป ท่องเที่ยว-กีฬา

ชาวสตูลกว่า  3,000 คน ร่วมกิจกรรม “เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติในหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ” ประจำปี 2567

ชาวสตูลกว่า  3,000 คน ร่วมกิจกรรม “เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาตครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติในหลวง เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ” ประจำปี 2567

        วันที่  2 พ.ย. 67  เวลา 05.30 น. ที่บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดสตูล นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานเปิดกิจกรรม เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ครั้งที่ 10 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมีนายคณิต คงช่วย รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นางสาวดุษฎี  พฤกษเศรษฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นายพิบูลย์ รัชกิจประการ สส.สตูล เขต 1 นายชัยวุฒิ บัวทอง ปลัดจังหวัดสตูล แพทย์หญิงอภิญญา  เพ็ชรศรี นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสตูล  พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ศาล ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน สื่อมวลชน เยาวชน และประชาชนในพื้นที่จังหวัดสตูล ร่วมสวมใส่เสื้อโครงการฯ และเสื้อโทนสีเหลืองเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 3,000 คน บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

         สำหรับกิจกรรมดังกล่าว  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล , ศูนย์โรคหลอดเลือดสมองศิริราช , ศิริราชมูลนิธิ และภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชนกว่า 40 หน่วยงาน ร่วมกันจัดขึ้น โดยขับเคลื่อนโครงการฯ ผ่านเขตสุขภาพ 13 แห่งทั่วประเทศ ในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ กิจกรรมให้ความรู้  โรคหลอดเลือดสมอง และกิจกรรมออกกำลังกาย เดิน วิ่ง ปั่น ป้องกันอัมพาต ที่ร่วมจัดงานพร้อมกัน 77 จังหวัดทั้งประเทศ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินี ที่ทรงเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนชาวไทย   ในการรักษาสุขภาพและการออกกำลังกาย  ตลอดจนจัดกิจกรรมสร้างความตระหนักรู้  โรคหลอดเลือดสมอง ภายใต้หัวข้อ “คนไทยสมองดี” หรือ “Healthy Thai , Healthy Brains” และรณรงค์เชิญชวนคนไทยให้หันมาออกกำลังกาย  เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง อันจะเป็นการป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้ในอีกทางหนึ่งด้วย

 

         ทั้งนี้ ภายในกิจกรรม ประกอบด้วย การจัดนิทรรศการฯ , การเต้นแอโรบิค , เดิน วิ่ง ระยะทาง 5 และ 10 กิโลเมตร และปั่นจักรยาน ระยะทาง 23 กิโลเมตร

……………………………………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น

คืบหน้า สาวใหญ่ยันไม่หนีคดีชนรถ เห็นค่าซ่อม 6.5 หมื่นแพงเกิน พร้อมสู้คดีในชั้นศาล  ไม่เจตนาหนี อ้างฝนตกหนัก-ทัศนวิสัยไม่ดี  ยันไม่ได้อ้างชื่อแม่ทัพภาค 4 เมื่อถามมาก็ตอบไป  พร้อมเคลียร์ค่าเสียหายตามเหมาะสม

สตูล –  คืบหน้า สาวใหญ่ยันไม่หนีคดีชนรถ เห็นค่าซ่อม 6.5 หมื่นแพงเกิน พร้อมสู้คดีในชั้นศาล  ไม่เจตนาหนี อ้างฝนตกหนัก-ทัศนวิสัยไม่ดี  ยันไม่ได้อ้างชื่อแม่ทัพภาค 4 เมื่อถามมาก็ตอบไป  พร้อมเคลียร์ค่าเสียหายตามเหมาะสม

จากกรณีแม่ค้าสาวใหญ่สตูลได้ร้องสื่อมวลชนให้ช่วยหลังอ้างว่าคู่กรณีชนแล้วหนี  อีกทั้งอ้างตัวเป็นผู้พิพากษาสมทบและสนิทกับแม่ทัพภาคที่ 4  ไม่ยอมรับผิดชอบให้ไปคุยกันที่ศาลเท่านั้น   วันนี้ทางทีมสื่อได้พยายามติดต่อคู่กรณีเพื่อให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายโดยอ้างว่า ไม่เคยคิดอ้างผู้ใหญ่เมื่อมีคนถามมาก็ตอบไปตามความเป็นจริง ยืนยันไม่คิดหนีแต่ตอนนั้นตกใจไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน 

 

นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 หมู่ที่ 2 ต.เกตรี  อ.เมือง  จ.สตูล  ได้ติดต่อเข้าร้องทุกข์กับสื่อมวลชนว่ารถตู้ (ใช้ไปขายของตามตลาดนัด) ของตนซึ่งจอดสนิทอยู่หน้าบ้านดังกล่าวที่เตรียมจะไปขายของตอนตี 5 นาฬิกาแล้วจู่ ๆ เวลาประมาณ  1.10 น.ของวันที่ 26 ต.ค.2567 ขณะเพิ่งกลับจากทำงานไม่นานได้นั่งดูทีวีภายในบ้านได้ยินเสียงโครมอย่างหนักจึงรีบออกไปดู  พบว่ารถตู้คู่ใจทำงานของตนได้กระเด็นขึ้นมาเกยบนฟุตบาท และเห็นรถรถยนต์เก๋งแบนซ์คันก่อเหตุได้พยายามขับมุ่งหน้าหนีไปในเมืองโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดรถหลังก่อเหตุ

 

ทันใดนั้นตนจึงรีบโทรแจ้ง 191 ให้ช่วยสกัดจับรถคันดังกล่าว ก่อนตำรวจจะไปพบว่ารถคันดังกล่าวไปจอดอยู่ที่อู่แห่งหนึ่งในตัวเมืองสตูล  และได้ทำการยึดมาตรวจสอบ พร้อมเรียกเจ้าของรถ(ผู้หญิง)มาให้ปากคำโดยระหว่างนั้นเจ้าของรถได้ให้การภาคเสธกับตำรวจ และยืนยันว่าไม่ได้ผิดไม่ขอชดใช้ค่าเสียหาย ที่ทางเจ้าทุกข์ได้ให้ช่างประเมินราคาแล้ว 65,000 บาท เพราะรถตู้จอดผิดที่เอง หากอยากได้  ให้ไปคุยกันที่ศาล และยังได้อ้างตัวกับตนและตำรวจว่ารู้ไหมว่าตนเป็นใคร ตนเป็นผู้พิพากษาสมทบ และรู้จักกับแม่ทัพภาคที่ 4

 

 ซึ่งเจ้าทุกข์นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี  มองว่ามากล่าวอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ทำไม เมื่อทำผิดก็น่าจะต้องรับผิดกลับเชไช หรือว่าจะพลิกคดีเพราะรู้จักคนใหญ่คนโต  ไม่ยอมชดใช้จึงอยากให้สื่อมวลชนช่วยให้ดำเนินคดีเป็นไปตามกฎหมาย  แม้ทางตำรวจเองก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

 

นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี   มีความกังวลว่า  เขาอาจจะใช้เงินทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่เราต้องการความถูกต้อง เขาจ้างทนายมาเพื่อจะไม่จ่ายตังให้  เรามองว่าเขายังเอาคนใหญ่คนโตมาพูดทั้งเขาก็ไม่รู้เรื่อง  และยังอ้างว่าตนไปสืบทราบมาว่าผู้ชนแล้วหนีในวันเกิดเหตุเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง ดื่มไวน์มาหรือไม่นั้นไม่ทราบ  อยากให้มีการตรวจสอบแต่ตนมีภาพถ่ายงานเลี้ยงก่อนวันก่อเหตุด้วย

 

โดยขณะนี้คดีทางร้อยเวรสภ.เมืองสตูล ได้ประสานให้ตำรวจชุดพิสูจน์หลักฐาน  เข้ามาตรวจร่องรอยการชนของรถเบนซ์และรถตู้คันเกิดเหตุ  เพื่อเป็นหลักฐานว่าใครผิดใครถูกกันแน่  โดยตำรวจยืนยันว่าคดีนี้จะดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน

 

           ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับคู่กรณี  และพร้อมจะชี้แจงในกรณีที่ถูกกล่าวหา

          โดยยอมรับกับสื่อมวลชนว่า  ตนชนจริงแต่ไม่รู้ว่าเป็นรถของใคร เนื่องจากรถตู้คันดังกล่าวจอดอยู่ที่ข้างถนน และอยู่ตรงจุดที่กำลังมีการก่อสร้าง มีแท่งแบริเออร์วางอยู่เต็มหมดเลย ขณะที่ขับรถตามวันเวลาดังกล่าว พยายามหลบแท่งแบริเออร์แต่ได้แฉลบไปชนรถของเขา

          ประกอบกับดึกแล้วตีหนึ่งกว่า ฝนตกหนัก มืดไม่มีแสงสว่างเลย ไม่กล้าจอดรถอยู่นานได้จอดแค่แป๊บเดียว มองไม่เห็นอะไรเลยก็เลยตัดสินใจขับรถกลับบ้านก่อนดีกว่า  พอมาถึงบ้านพบว่ายางรถเสียหมดเลย

         ยืนยันได้ว่าไม่ได้เจตนาที่จะหนี และหลังไปเจอตำรวจ ได้ยอมรับกับตำรวจว่าชนจริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นรถของใคร และได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ให้ตำรวจฟัง จากนั้นตำรวจได้ขอใบขับขี่และบัตรประชาชน เมื่อตำรวจเห็นบัตร และได้สอบถามว่าพี่ทำงานอะไร และได้บอกว่าตนเองได้ทำธุรกิจส่วนตัว แล้วตำรวจถามว่าเห็นใส่ชุดคล้ายข้าราชการถ่ายรูปติดบัตร ก็เลยบอกว่าตนเป็นผู้พิพากษาสมทบ จากนั้นตำรวจบอกว่าถ้าไม่บอกก็ไม่เป็นไรสามารถเช็คประวัติได้ พี่ก็ได้บอกว่าเช็คได้เลยพี่ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย ผ่านการตรวจสอบมาแล้วไม่เคยทำความผิดอะไร

         แต่พอพี่กำลังจะกลับหลังจากให้ปากคำตำรวจเสร็จ มีน้องในโรงพักเขาถามว่าพี่มาจากไหน พี่เลยบอกว่ามาจากงานเลี้ยงแม่ทัพภาคที่ 4 และมีน้องอีกคนที่อยู่ในโรงพักถามว่าพี่รู้จักแม่ทัพภาคที่ 4 เหรอ ตนก็ยอมรับว่ารู้จัก โดยไม่ได้กล่าวอ้างว่ารู้จักตั้งแต่ทีแรก  ซึ่งน้องเจ้าทุกข์ก็นั่งอยู่ด้วยก็ยังได้บอกกับตนเลยว่าตนเองก็รู้จักแม่ทัพภาคที่ 4 ด้วยเช่นกัน เพิ่งไปทอดกฐินมา ตนก็บอกว่าตนก็ไปทอดกฐินด้วยเช่นกันที่รัตภูมิ  จึงได้มีการคุยกันและบอกว่าเป็นเพื่อนกับภรรยาของท่านแม่ทัพภาคที่ 4 เรียนปริญญาโทมาด้วยกัน สนิทกันจึงได้มีการเล่าสู่กันฟัง

        ยืนยันว่าไม่ได้กล่าวอ้างเพื่อที่จะให้พ้นผิด   เพราะเรื่องคดีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้ใหญ่โต คอขาดบาดตาย ตนสามารถเคลียร์ของตัวเองได้ ซึ่งทางเจ้าทุกข์ก็บอกว่ารู้จักกับภรรยาของท่าน ตนเองก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะที่วัดทอดพระป่าใครก็ไปได้ จากนั้นจึงขอตัวกลับก่อน

         ทางเจ้าทุกข์ได้บอกกับตนว่าได้ให้อู่ตีราคามาแล้วจำนวน 65,000 บาท ซึ่งตนได้บอกกับเจ้าทุกข์ว่า ราคาสูงไป แล้วได้บอกว่าขอคิดดูก่อน และบอกว่าไม่ลดอะไรให้อีกแล้วหรอ ถ้าเป็นแบบนั้นตนเลยบอกว่า ก็ค่อยไปว่ากันในศาล ก็ได้. ซึ่งตนได้พูดแนวนี้

          ถ้าเขาไม่ยอมให้พี่จ่ายเท่านั้นพี่ก็สู้ไม่ไหว ซึ่งเห็นว่าเขาก็ผิดเหมือนกัน เพราะเขาไปจอดรถที่ไหล่ถนน เป็นพื้นที่แคบและเป็นพื้นที่ก่อสร้าง ตนเห็นว่าไม่เหมาะที่รถตู้จะไปจอด

          ซึ่งตนสามารถยืนยันได้อีกครั้งว่าไม่เคยกล่าวอ้างชื่อแม่ทัพแต่อย่างใด  เพราะจะโทรก็สามารถยกหูโทรได้เลย เพราะตนคุยทุกวัน

         ตนก็ยืนยันว่าจะขอเคลียร์กับเจ้าทุกข์แต่ถ้าค่าใช้จ่ายสูงขนาดนั้นก็ไม่ไหว เพราะมันสูงเกินไป เพราะถ้าพี่ผิดจริงๆก็ต้องให้ทางชุดพิสูจน์หลักฐานเขาทำงานก่อน ถ้าผิดจริงๆก็ค่อยคุยกันเรื่องค่าใช้จ่าย ถ้าค่าใช้จ่ายสูงเกินไปจะขอลดได้อีกไหมเพราะเขาก็ผิด

         พอมาเป็นแบบนี้ก็รู้สึกเสียความรู้สึกมากเลย  เพราะอยากจะไกล่เกลี่ยเหมือนกัน  ถ้าเป็นแบบนี้ก็คงต้องว่ากันอีกที

…………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น

ร้องสื่อหลังเจอคู่กรณีชนแล้วหนี อ้างตัวสนิทกับแม่ทัพภาคที่ 4 ไม่ยอมรับผิดชอบให้ไปคุยกันที่ศาลเท่านั้น

สตูล – ร้องสื่อหลังเจอคู่กรณีชนแล้วหนี อ้างตัวสนิทกับแม่ทัพภาคที่ 4 ไม่ยอมรับผิดชอบให้ไปคุยกันที่ศาลเท่านั้น

           ผู้สื่อข่าวรายงานวันที่ 29 ต.ค.2567   นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 170 หมู่ที่ 2 ต.เกตรี อ.เมืองสตูล  ได้ติดต่อเข้าร้องทุกข์กับสื่อมวลชนว่ารถตู้ (ใช้ไปขายของตามตลาดนัด) ของตนซึ่งจอดสนิทอยู่หน้าบ้านดังกล่าวที่เตรียมจะไปขายของตอนตี 5 นาฬิกาแล้วจู่ ๆ เวลาประมาณ  01.10 น.ของวันที่ 26 ต.ค.2567 ขณะเพิ่งกลับจากทำงานไม่นาน ได้นั่งดูทีวีภายในบ้านได้ยินเสียงโครมอย่างหนักจึงรีบออกไปดู  พบว่ารถตู้คู่ใจทำงานของตนได้กระเด็นขึ้นมาเกยบนฟุตบาท และเห็นรถรถยนต์เก๋งแบนซ์คันก่อเหตุได้พยายามขับมุ่งหน้าหนีไปในเมืองโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดรถหลังก่อเหตุ

        ทันใดนั้นตนจึงรีบโทรแจ้ง 191 ให้ช่วยสกัดจับรถคันดังกล่าว ก่อนตำรวจจะไปพบว่ารถคันดังกล่าวไปจอดอยู่ที่อู่แห่งหนึ่งในตัวเมืองสตูลและได้ทำการยึดมาตรวจสอบ พร้อมเรียกเจ้าของรถ(ผู้หญิง)มาให้ปากคำโดยระหว่างนั้นเจ้าของรถได้ให้การภาคเสธกับตำรวจ และยืนยันว่าไม่ได้ผิดไม่ขอชดใช้ค่าเสียหาย  ที่ทางเจ้าทุกข์ได้ให้ช่างประเมินราคาแล้ว 65,000 บาท เพราะรถตู้จอดผิดที่เอง หากอยากได้ให้ไปคุยกันที่ศาล และยังได้อ้างตัวกับตนและตำรวจว่ารู้ไหมว่าตนเป็นใคร  และรู้จักกับแม่ทัพภาคที่ 4 ซึ่งเจ้าทุกข์นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี  มองว่ามากล่าวอ้างผู้หลักผู้ใหญ่ทำไม เมื่อทำผิดก็น่าจะต้องรับผิดกลับเชไช หรือว่าจะพลิกคดีเพราะรู้จักคนใหญ่คนโต  ไม่ยอมชดใช้จึงอยากให้สื่อมวลชนช่วยให้ดำเนินคดีเป็นไปตามกฎหมาย  แม้ทางตำรวจเองก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีตามกฎหมาย

          นางสาวณัฎฐณิชา  อาลี   มีความกังวลว่าเขาอาจจะใช้เงินทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่เราต้องการความถูกต้อง เขาจ้างทนายมาเพื่อจะไม่จ่ายตังให้  เรามองว่าเขายังเอาคนใหญ่คนโตมาพูดทั้งเขาก็ไม่รู้เรื่อง  และยังอ้างว่าตนไปสืบทราบมาว่าผู้ชนแล้วหนีในวันเกิดเหตุเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยง  ดื่มไวน์มาหรือไม่นั้นไม่ทราบ  อยากให้มีการตรวจสอบแต่ตนมีภาพถ่ายงานเลี้ยงก่อนวันก่อเหตุด้วย

         โดยขณะนี้คดีทางร้อยเวร สภ.เมืองสตูล  ได้ประสานให้ตำรวจชุดพิสูจน์หลักฐานเข้ามาตรวจร่องรอยการชนของรถเบนซ์และรถตู้คันเกิดเหตุเพื่อเป็นหลักฐานว่าใครผิดใครถูกกันแน่  โดยตำรวจยืนยันว่าคดีนี้จะดำเนินคดีตามกฎหมายแน่นอน

         จากข้อสังเกตบริเวณหน้ารถยนต์เบนซ์ สีดำ ยังพบสติกเกอร์ติดหน้ารถ เข้า-ออก ค่ายสมันตรัฐบุรินทร์ ติดไว้ด้วย

………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ท่องเที่ยว-กีฬา

ททท. จับมือ กระทรวงท่องเที่ยวฯ มาเลเซีย แถลงความร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน เล็งบูสต์กลุ่มนักท่องเที่ยวขับรถข้ามชายแดน หวังดันท่องเที่ยวระหว่างไทย-มาเลเซีย 7 ล้านคนตลอดปี

ททท. จับมือ กระทรวงท่องเที่ยวฯ มาเลเซีย แถลงความร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน เล็งบูสต์กลุ่มนักท่องเที่ยวขับรถข้ามชายแดน หวังดันท่องเที่ยวระหว่างไทย-มาเลเซีย 7 ล้านคนตลอดปี

           (26 ตุลาคม 2567 ) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดย นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ และ กระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม แห่งมาเลเซีย โดย ดร. ยัสมิน บินติ ยาซิม รองเลขาธิการใหญ่ ร่วมกันแถลงความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เชื่อมโยงระหว่างกัน ด้วยการท่องเที่ยวรูปแบบขับรถข้ามชายแดนไทย-มาเลเซีย (Cross-border Tourism) พร้อมร่วมปล่อยขบวนคาราวาน Thailand-Malaysia Self-Drive Tourism กว่า 60 คัน ณ ลานจอดรถ The Zon Duty Free Complex ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างด่านสะเดา จังหวัดสงขลา ราชอาณาจักรไทย และด่านบูกิตกายูฮิตัม สหพันธรัฐมาเลเซีย ซึ่งมีนักขับรถและผู้ร่วมคาราวานเข้าร่วมงานกว่า 100 คน เดินทางสัมผัสประสบการณ์การท่องเที่ยวที่น่าประทับใจ แลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ

         นางสาวภัทรอนงค์ ณ เชียงใหม่ รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลมุ่งขับเคลื่อนนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นศูนย์กลางในการเดินทางของภูมิภาคอาเซียน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดย ททท.ได้เร่งดาเนินการมุ่งส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามแดนระหว่างประเทศเพื่อนบ้านภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน (ASEAN) โดยสาหรับประเทศไทยและมาเลเซียนั้น เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้งทางอากาศ ทางบก (ทางถนนและทางราง) และทางน้า ซึ่งปัจจุบันนักท่องเที่ยวมาเลเซียติดอันดับ Top 3 ตลาดนักท่องเที่ยวที่เดินทางเยือนไทยมากที่สุด โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 23 ตุลาคม 2567 มีนักท่องเที่ยวมาเลเซียมาเยือนไทยแล้วมากกว่า 4 ล้านคน โดยร้อยละ 49 เลือกเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านชายแดนด่านตรวจคนเข้าเมืองสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งจากปัจจัยสนับสนุนของมาตรการรัฐบาลในการขยายเวลาการยกเว้นการยื่นรายการตามแบบ ตม.6 ของ 4 ด่านชายแดนทางบกระหว่างประเทศไทยและมาเลเซีย ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2567 ถึงวันที่ 30 เมษายน 2568 จึงเป็นโอกาสอันดีที่ไทยและมาเลเซียจะร่วมกันส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวทั้งสองประเทศเดินทางระหว่างกันในรูปแบบการท่องเที่ยวขับรถข้ามแดน (Cross-border Tourism) ทั้งนี้ ในปี 2567 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียมาเยือนไทยรวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 5 ล้านคน ในขณะเดียวกันจะมีคนไทยเดินทางไปเยือนมาเลเซียในปีนี้ ไม่น้อยกว่า 2 ล้านคน รวมแล้วคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางระหว่างกันไม่น้อยกว่า 7 ล้านคน

         ดร.ยัสมิน บินติ ยาซิม รองเลขาธิการใหญ่ กระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม แห่งมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียมีความยินดียิ่งที่ได้มีความร่วมมือกับประเทศไทยในการส่งเสริมการท่องเที่ยวข้ามชายแดน โดยจะมุ่งส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมของสองประเทศ และมาเลเซียได้เตรียมการประกาศให้ปี 2569 เป็นปีท่องเที่ยวมาเลเซีย (Visit Malaysia 2026) ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกไม่น้อยกว่า 35.6 ล้านคน และเชื่อว่าการท่องเที่ยวข้ามชายแดน จะมีบทบาทสาคัญในการเพิ่มจานวนนักท่องเที่ยวระหว่างไทยและมาเลเซียได้อย่างมาก สอดคล้องกับความตั้งใจของมาเลเซียที่จะส่งเสริมให้มีการอำนวยความสะดวก สำหรับการเดินทางข้ามชายแดนอย่างไร้รอยต่อ และเสริมสร้างความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวกับไทยและประเทศสมาชิกทั้งภายใต้กรอบความร่วมมืออาเซียน (ASEAN) และ Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle (IMTGT) ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตลอดจนสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวต่อไป

       การแถลงความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันดีในการต้อนรับฤดูกาลท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ โดย ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยว ศิลปะ และวัฒนธรรม แห่งมาเลเซีย ได้ร่วมกันเปิดตัวคู่มือแผนที่เส้นทางท่องเที่ยว Self-Drive เชื่อมโยงชายแดนไทยและมาเลเซีย ซึ่งให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในเส้นทาง โดยนักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถรับข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล พร้อมทั้งค้นหาคู่มือเส้นทางท่องเที่ยว เชื่อมโ ยงประเ ทศ ไทย แล ะ มาเล เ ซีย รว มถึงประเทศเพื่อน บ้าน อื่น ๆ ได้ที่เว็บ ไ ซ ต์ https://tourismproduct.tourismthailand.org โดย ททท. มีแผนจะพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวขับรถข้ามแดนร่วมกับมาเลเซียเพิ่มเติม อีกทั้งพิจารณาการพัฒนาสินค้าและบริการการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวรวมถึงการจัดกิจกรรมกระตุ้นการเดินทางของนักท่องเที่ยว และเพิ่มโอกาสให้นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียได้ขยายการเดินทางไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของไทย นอกเหนือจากภูมิภาคภาคใต้ด้วย เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเดินทางเชื่อมโยงกันโดยสะดวก

        นอกจากนี้ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น ASEAN Hub ททท. มีนโยบายที่จะกระตุ้นการเดินทางเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางคมนาคมที่หลากหลาย สาหรับประเทศไทยและมาเลเซียนั้นถือว่ามีข้อได้เปรียบที่สามารถเชื่อมโยงกันได้ทั้งทางอากาศ ทางบก (ทางถนนและทางราง) และทางน้า จึงเป็นโอกาสอันดีในการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศไปพร้อมกัน โดยในส่วนของการเชื่อมโยงทางอากาศมีความร่วมมือในการเปิดเส้นทางการบินใหม่ ๆ อยู่อย่างต่อเนื่อง อาทิ เส้นทางบินกัวลาลัมเปอร์-เชียงใหม่ของ Malaysia Airline เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 และทางราง ได้ริเริ่มผลักดันการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟจากกัวลาลัมเปอร์ ตรงไปยังสถานีหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือกันระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กับการรถไฟมาลายา หรือ KTMB (Keretapi Tanah Melayu Berhad) ให้บริการขนส่งนักท่องเที่ยวโดยรถไฟ KTM Electric Train Service (ETS) ซึ่งให้บริการจากสถานี KL Sentral ไปยังสถานีรถไฟปาดังเบซาร์ รัฐปะลิส ก่อนจะเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทั้งยังจัด Chartertrain ชื่อ My Sawasdee ในเส้นทางกัวลาลัมเปอร์-ปาดังเบซาร์-หาดใหญ่ รองรับผู้โดยสารได้ถึงเที่ยวละ 400 คน โดยจะเปิดให้บริการเพียงช่วงวันหยุดยาว หรือเทศกาลเฉลิมฉลองพิเศษ ซึ่ง ททท. มีแผนที่จะส่งเสริมเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่เปิดให้บริการเป็นประจาเพิ่มขึ้นต่อไป

        ททท. คาดว่า การเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ด้วยการนาเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวผ่านช่องทางคมนาคมที่หลากหลายระหว่างไทยและประเทศเพื่อนบ้านนั้น จะทาให้ ททท. ดาเนินกิจกรรมด้านการตลาดได้บรรลุตามเป้าของรัฐบาล ซึ่งตั้งเป้ารายได้จากการท่องเที่ยว 3.5 ล้านล้านบาท และเพิ่มเป้าหมายจานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 36.7 ล้านคน ภายในปี 2567 นี้

………………………………………

ไพรัช  สุขงาม // ภาพ-ข่าว

อัพเดทล่าสุด
Categories
ท้องถิ่น-การเมือง ท่องเที่ยว-กีฬา

สตูล เปิด “หลาดเกตเวย์ไนท์” แหล่งรวมสินค้าและ Street Food อย่างเป็นทางการ

สตูล เปิด “หลาดเกตเวย์ไนท์” แหล่งรวมสินค้าและ Street Food อย่างเป็นทางการ

         ที่บริเวณลานจีโอปาร์คเกตเวย์ ตำบลควนโดน อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล นายศักระ กปิลกาญจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล เป็นประธานในพิธีเปิด “หลาดเกตเวย์ไนท์” แหล่งรวมสินค้าและ Street Food อย่างเป็นทางการ โดยมีนายคณิต คงช่วย นางสาวดุษฎี พฤกษเศรษฐ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ สื่อมวลชน ประชาชน และนักท่องเที่ยว เข้าร่วมในพิธีเปิดเป็นจำนวนมาก ซึ่งบรรยากาศในงานต่างมีประชาชนและนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเข้ามาจับจ่ายสินค้ากันอย่างคึกคัก

         ทั้งนี้   องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล  ได้เล็งเห็นความสำคัญในการพัฒนาศูนย์บริการท่องเที่ยวจังหวัดสตูล ให้เป็นศูนย์กลางในการให้บริการข้อมูลข่าวสารการท่องเที่ยว  เป็นแหล่งกระจายรายได้ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่นและเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยวสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของประเทศ จึงกำหนดจัดหาผลประโยชน์ในทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล  และได้กำหนดจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยวิถีถิ่น (หลาดเกตเวย์ไนท์) ขึ้น ณ บริเวณลานจอดรถบริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวจังหวัดสตูล ในวันอังคารและวันศุกร์ เวลา 15.30 ถึง 22.00 น. โดยกำหนดเปิดตลาดในวันที่ (25 ต.ค. 67) และจะดำเนินการเปิดตลาดทุกวันอังคารและศุกร์ ตลอดปีงบประมาณ พ.ศ.2568

 

         ทั้งนี้มีผู้ประกอบการร้านค้าที่ผ่านการคัดเลือกและมีสิทธิ์จำหน่ายสินค้าในหลาดเกตเวย์ไนท์ จำนวน 70 ราย รวมพื้นที่ใช้เปิดร้านค้า จำนวน 120 ล๊อค ประกอบด้วย อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ สินค้ากิฟชอฟ สินค้ามือสอง ต้นไม้ และสัตว์เลี้ยง อย่างหลากหลาย สามารถส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดสตูลมิติต่าง ๆ ได้อย่างต่อเนื่องต่อไป

………………………………..

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น

สตูล – แม่เลี้ยงเดี่ยวร้องสื่อ ถูกเพื่อนสมัยมัธยมหลอกค้ำประกันเงินกู้ สูญเงินกว่า 3 แสนบาท

สตูล – แม่เลี้ยงเดี่ยวร้องสื่อ ถูกเพื่อนสมัยมัธยมหลอกค้ำประกันเงินกู้ สูญเงินกว่า 3 แสนบาท

          ผู้สื่อข่าวจังหวัดสตูลได้รับการร้องทุกข์จากนางสาวณัฐ (นามสมมติ) อายุ 31 ปี ชาวบ้านควน อำเภอเมือง จังหวัดสตูล หลังถูกเพื่อนสมัยมัธยมที่รู้จักกันในนาม “ไฮโซตาต้าโลตัส” หลอกให้ค้ำประกันเงินกู้ จนทำให้ต้องแบกรับภาระหนี้สินกว่า 300,000 บาท

 

           นางสาวณัฐ  เปิดเผยว่า เรื่องราวเริ่มต้นจากการที่เพื่อนขอยืมเงิน 50,000 บาท โดยอ้างว่าจะนำไปใช้จ่ายค่าเช่าร้านเสื้อผ้าและร้านโทรศัพท์  ที่ห้างใหญ่ในอำเภอควนโดน  ซึ่งตนได้นำทรัพย์สินส่วนตัวไปจำนำ  เพื่อนำเงินมาให้ยืม  ต่อมาเพื่อนได้ขอให้ช่วยค้ำประกันเงินกู้นอกระบบเพื่อนำเงินมาคืน แต่กลับไม่ได้รับการชำระคืนแต่อย่างใด จนปัจจุบันยอดหนี้รวมทั้งต้นและดอกเบี้ยพุ่งสูงถึง 300,000 บาท

 

           ผู้เสียหายซึ่งเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีภาระต้องดูแลครอบครัวรวม 4 ชีวิต ประกอบด้วย พ่อที่ป่วยพิการจากอุบัติเหตุ น้องชายที่เป็นออทิสติก แม่ที่แก่ชรา และบุตรสาวที่กำลังเรียนหนังสือ เธอมีอาชีพเป็นเพียงฟรีแลนซ์ไม่มีรายได้ประจำ  จำต้องนำทรัพย์สินในครอบครัว ทั้ง iPad ของลูกสาว สร้อยคอทองคำของแม่ และหัวทะเบียนรถของครอบครัวอีก 3 คัน ไปจำนำเพื่อนำเงินมาจ่ายหนี้

 

           ขณะที่ลูกหนี้ซึ่งปัจจุบันพำนักอยู่ในประเทศมาเลเซีย ยังคงใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย และจ่ายเงินคืนเพียงครั้งละ 100-500 บาทเท่านั้น  ทั้งยังมีการข่มขู่ผู้เสียหายว่าจะดำเนินคดีข้อหาปล่อยเงินกู้นอกระบบ แม้ว่าผู้เสียหายจะได้แจ้งเรื่องต่อศูนย์ดำรงธรรมแล้ว แต่เห็นว่ากระบวนการทางกฎหมายอาจไม่สามารถช่วยเหลือได้มากนัก

          นอกจากนี้ทีมข่าวยังพบว่า   “ไฮโซตาต้าโลตัส” ยังมีการหลอกยืมเงินจากบุคคลอื่นอีกหลายราย แต่ผู้เสียหายรายอื่นยังไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชน เนื่องจากเกรงกลัวการถูกข่มขู่จากลูกหนี้

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น

แม่สุดปวดใจ! ลูกสาวพิการหายออกจากบ้าน 5 วันแล้วไม่รู้ชะตากรรม พึ่งหมดแล้วทั้งคุณไสย สุดท้ายวอนนักข่าวช่วยตามอีกแรง กลัวตกน้ำถูกทำร้าย

แม่สุดปวดใจ! ลูกสาวพิการหายออกจากบ้าน 5 วันแล้วไม่รู้ชะตากรรม พึ่งหมดแล้วทั้งคุณไสย สุดท้ายวอนนักข่าวช่วยตามอีกแรง กลัวตกน้ำถูกทำร้าย

          ที่หมู่ที่ 4 ตำบลคลองขุด อำเภอเมือง จังหวัดสตูล นางม่าริหยำ   รอดบุญ  อายุ 63 ปี (แม่) พร้อมนางสาวมณฑาทิพย์  รอดบุญ  อายุ 41 ปี (พี่สาวผู้สูญหาย) ขอความช่วยเหลือจากสื่อที่เห็นว่าเป็นที่พึ่งสุดท้าย  ในการช่วยตามหาบุตร (สาว) นางสาวจินดาพร   รอดบุญ  อายุ 37 ปีที่ป่วยทางจิตเวช (มีบัตรคนพิการ)  หายออกจากบ้านไปตั้งแต่วันเสาร์ที่ 19 ต.ค.67 ที่ผ่านมาในช่วงเช้าขณะแม่ออกไปขายผักในตลาดตั้งจิตต์ ต.คลองขุด อ.เมืองสตูล

        นางม่าริหยำ (แม่วัย 63 ปี) เล่าว่า  ก่อนวันเกิดเหตุตนไปขายผักในตลาดตามปกติ และกลับมาบ้านประมาณ 10 โมงเหมือนทุกวันหลังกลับมาไม่เจอลูก  จึงถามน้องของผู้สูญหายบอกว่า พี่ออกจากบ้านบอกว่าจะไปรับยาที่รพ.สตูล โดยน้องบอกว่า พี่สาวได้โทรเรียกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเจ้าประจำมารับที่บ้าน  และไม่กลับมาอีกเลยวันนี้เข้าวันที่ 5 แล้ว แม่เป็นห่วงมากเพราะลูกต้องทานยา กลัวจะถูกคนไม่หวังดีทำร้ายร่างกาย ป่านนี้ไม่รู้ได้กินข้าวกินปลาหรือยัง กลัวเขาจะเป็นลม เป็นแม่ห่วงมากช่วยแม่ตามหาลูกหน่อย

        แม่ได้ถามรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างเจ้าประจำ บอกว่า ได้ไปส่งลูกสาวที่ตลาดสดในเทศบาลเมืองสตูลจริง  (ซึ่งที่แห่งนั้นลูกสาวเคยไปช่วยแม่ขายของในอดีตก่อนย้ายมาขายที่ตลาดตั้งจิตต์)  แต่ได้นัดแนะว่าเดียวไปวิ่งรถสัก 2-3 รอบแล้วจะมารับกลับบ้านโดยทางวินมอเตอร์ไซด์บอกว่า  พอมารับก็ไม่มีลูกสาวแล้ว  แม่บอกว่า  ลูกสาวไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลยทั้งโทรศัพท์ที่เขาชอบพกติดตัว ยาก็ไม่เอาไป แม่และทุกคนในครอบครัวเป็นห่วงมาก

        (น้องเอ็ง) หรือนางสาวจินดาพร  รอดบุญ  อายุ 37 ปี ป่วยทางจิตเวช (มีบัตรคนพิการ) เป็นบุตรคนที่ 3 จากทั้งหมด 6 คน  ก่อนออกจากบ้านสวมชุดเสื้อยืดสีดำ/กางวอมสีดำ/ผมซอยสั้น  สูง 165 ซม./ร่างอวบ/ น้องชอบพูดคนเดียว มีคนบอกว่าเมื่อวันที่ 21 มีคนเห็นน้องเดินเข้าไปในห้างฯ ใหญ่ ในเมืองสตูลและถูกไล่ออกมา  เมื่อแม่ทราบข่าวรีบไปดูแต่ไม่มีแล้ว และได้ไปแจ้งความไว้แล้วที่ สภ.เมืองสตูล แต่ยังไม่มีวี่แวว

          (น้องเอ็ง) ชอบออกมาเดินในหมู่บ้านคนเดียว และไปไกลสุดคือตลาดสดเทศบาลเมืองสตูล  พูดจารู้เรื่องในบางครั้ง ขี้น้อยใจ ชอบบ่นไม่มีเงิน น้องป่วยตั้งแต่ตอนเรียนมัธยม 6 เข้ากับเพื่อนไม่ได้ และก็ป่วยมาเรื่อยจนปัจจุบันต้องทานยาตลอดพบเห็นโทร 083-2178486  ครอบครัวเป็นห่วงมาก

 

           นางสาวมณฑาทิพย์  รอดบุญ  อายุ 41 ปี (พี่สาวผู้สูญหาย)  บอกว่า หมดหนทางแล้ว ทั้งออกตามหาเอง แจ้งความตำรวจ และไสยศาสตร์ เขาบอกว่า น้องยังอยู่บนบกไม่ได้อยู่ในน้ำ บอกกว้างมากทำให้เราหากันไม่เจอ  ที่พึ่งสุดท้ายก็เป็นนักข่าวช่วยให้ประกาศตามหาน้องให้ด้วย  กลัวน้องไม่ปลอดภัย เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หากถูกไล่ก็ยิ่งเตลิดไปไกลฝากช่วยตามน้องให้ด้วย

 

          ขณะที่ด้านตำรวจ พ.ต.อ.เสกสิทธิ  ปรากฏชื่อ  ผกก.สภ.เมืองสตูล สั่งการให้เร่งตามหา โดยได้เรียก คนขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้างมาสอบปากคำ และแกะรอยจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามเส้นทางที่น้องที่คาดว่าจะเดินทางไป

……………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
เยาวชน-การศึกษา

 ค่ายมวยต้นกล้า สืบสานมรดกมวยไทย  ปลูกฝังศิลปะการต่อสู้ในดวงใจเยาวชนสตูล 

ค่ายมวยต้นกล้า สืบสานมรดกมวยไทย  ปลูกฝังศิลปะการต่อสู้ในดวงใจเยาวชนสตูล

          ที่บ้านเลขที่ 309/1 หมู่ 4 ตำบลคลองขุด อำเภอเมืองสตูล  ได้ถูกเนรมิตใต้ถุนบ้านเป็นค่ายมวยขนาดย่อม ภายใต้ชื่อ “ศิษย์จ่าเทพ” เพื่อให้เด็ก ๆ ในหมู่บ้านกว่า 14 คนมารวมตัวกันเพื่อฝึกซ้อมสมรรถภาพร่างกาย เริ่มตั้งแต่การวอร์มร่างกายด้วยการหัดไว้ครูเพื่อยืดเส้นยืดสาย  โดยมีครูฝึกคอยประกบให้คำชี้แนะ  ผู้ปกครองมาคอยให้กำลังใจ  ในแต่ละวันเด็ก จะต้องกระโดนเชือก , เต้นลูกยาง, ชกลม , เตะกระสอบ ,ล่อเป้า เป็นต้น

 

          โดยน้อง ๆ  ใช้ทั้งหมัด  เท้า  ฝึกซ้อมกันอย่างมุ่งมั่น เห็นถึงเยาวชนรุ่นใหม่ที่หลงใหลในศิลปะมวยไทย

 

         “ค่ายมวยต้นกล้า” นี้อยู่ภายใต้การดูแลของ  “ระฆังทองศิษย์จ่าเทพ”  เปิดประตูต้อนรับเยาวชนตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2567 โดยมี “ลุงเล็ก  พันศักดิ์” อดีตนักมวยเก่าเป็นครูฝึกหลัก   ปัจจุบันมีนักมวยเยาวชนฝึกซ้อมประมาณ 14 คน อายุ  8 -13 ปี  ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 1

 

          หนึ่งในนักมวยดาวรุ่งของค่าย คือ ด.ช.ฐิติพงษ์   ง๊ะสมั่น   หรือน้อง   “บินลาเดน  วิมโตโยต้า”   วัย 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านคลองขุด ที่มีประสบการณ์การชกมาแล้ว 4 ครั้ง ด้วยสถิติชนะ 2 แพ้ 2 สะท้อนให้เห็นถึงการเริ่มต้นที่แข็งแกร่งของนักมวยรุ่นเยาว์  โดยน้องบอกว่า แม้จะฝึกหนักก็เพื่ออยากชนะเวลาลงแข่งขัน และนักมวยที่ชื่นชอบและอยากเดินรอยตามคือ  “รถถัง จิตเมืองนนท์”  เวลาขึ้นเวทีแข่งได้เงินมาก็จะให้แม่เก็บไว้สร้างความภูมิใจให้กับตนเองมาก อยากได้เงินเยอะดูแลแม่ เคยร้องไห้เวลาต่อยเสร็จ  เพราะแพ้

 

          สำหรับการฝึกซ้อมที่นี่แบ่งเป็นสองช่วง  ช่วงปิดเทอมฝึกตั้งแต่บ่ายสามโมงถึงสองทุ่ม   ส่วนวันธรรมดาเริ่มสี่โมงเย็นถึงสองทุ่ม โปรแกรมการฝึกครอบคลุมทั้งการปล้ำ   เตะกระสอบ   กระโดดเชือก  ชกลม  วอร์มร่างกาย เต้นลูกยางเพื่อฝึกพลังขา และการล่อเป้า ซึ่งเป็นท่าที่เด็กๆ บอกว่าเหนื่อยที่สุดแต่สนุก โทรศัพท์เกือบไม่ได้จับเลย

          “ลุงเล็ก  พันศักดิ์” อดีตนักมวยเก่าเป็นครูฝึกหลัก  บอกว่า    “เราไม่ได้แค่สอนมวย แต่เราสอนวินัยและความอดทน” ลุงเล็กกล่าว ”  ที่สำคัญคือการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ห่างไกลจากยาเสพติด นี่คือเป้าหมายหลักของเรา”

 

           นายชัยณรงค์  ไชยจิตต์  สภาวัฒนธรรมอำเภอเมืองสตูล บอกว่า มวยไทยเป็นมรดกทางภูมิปัญญาที่มีการอนุรักษ์ศิลปะแม่ไม้มวยไทยให้กับเด็กเยาวชนรุ่นหลัง เห็นแล้วว่า เด็ก ๆ มีความตั้งใจ จึงได้ร่วมกัน 3 ตำบล ต.คลองขุด ต.ควนขัน และ ต.เกาะสาหร่าย  โดยกลุ่มนี้หลีกเลี่ยงปัญหายาเสพติดได้ อีกทั้งทางวัฒนธรรมเองต้องการผลักดันให้มีการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม  ตนในฐานสภาวัฒนธรรมอำเภอเมือง จึงได้ส่งเสริมร่วมกับ จ่าเทพ โดยเข้ามาสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ในการชกมวย เพราะเด็ก ๆที่เข้ามาฐานะต่างกัน และมาจากกลุ่มเสี่ยงจากยาเสพติดสูง

 

         ปัจจุบัน ค่ายมีนักมวยในสังกัด 6 คน ส่วนใหญ่เป็นเยาวชนจากพื้นที่คลองขุดและควนขัน ที่สมัครใจมาฝึกซ้อมด้วยใจรักในศิลปะมวยไทย สะท้อนให้เห็นว่าแม้ในยุคดิจิทัล   ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไทยยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดคนรุ่นใหม่  และยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาเยาวชนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

 

         วันนี้เด็ก ๆยังคงฝึกซ้อมที่ใต้ถุนบ้าน  โดยทางค่ายมวยศิษย์จ่าเทพเตรียมจัดงบประมาณเพื่อทำเวทีมวย ให้เด็กๆ ได้ฝึกซ้อมเสมือนขึ้นเวลาจริง เพื่อให้คุ้นชินกับเวที เปิดรับสมัครเยาวชนที่สนใจฝึกมวยไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสานมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติไทย

………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

ตำรวจน้ำสตูลจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า ครบรอบ 124 ปี ที่เกาะหลีเป๊ะ

ตำรวจน้ำสตูลจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า ครบรอบ 124 ปี ที่เกาะหลีเป๊ะ

          กองกำกับการ 9 กองบังคับการตำรวจน้ำ (กก.9 บก.รน.) จัดโครงการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 124 ปี ภายใต้ชื่อ “น้อมรำลึกพระเมตตา ตามรอยสมเด็จย่ากับตำรวจน้ำไทย” ประจำปี 2567 ระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2567 ณ อาคารเอนกประสงค์ หมู่ 7 บ้านเกาะหลีเป๊ะ ตำบลเกาะสาหร่าย อำเภอเมือง จังหวัดสตูล  โดย พันตำรวจเอก กมลศักดิ์ วันประดุง ผู้กำกับการ กก.9 บก.รน.  พ.ต.ท.บรรเจิด มานะเวช รอง ผกก.9 บก.รน., พ.ต.ท.ศุภศิษฏ์ อึ้งสุวรรณพานิช รอง ผกก.9 บก.รน. , พ.ต.ท.ศุภกิจตา สนุ่นดี สว.ส.รน.3 กก.9 บก.รน. และข้าราชการตำรวจในสังกัด กก.9 บก.รน นำเรือตรวจการณ์ 809 และเรือตรวจการณ์ 521 ออกปฏิบัติภารกิจ

 

          ในโอกาสนี้  พันตำรวจเอก กมลศักดิ์ วันประดุง ผู้กำกับการ กก.9 บก.รน. เป็นประธานในพิธี โดยได้ร่วมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ พอ.สว. จังหวัดสตูล และหน่วยงานในพื้นที่ จัดกิจกรรมบริการประชาชน ประกอบด้วย การแจกถุงยังชีพแก่ผู้ยากไร้ บริการตัดผม ตรวจสุขภาพและจ่ายยา เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงพร้อมมอบเวชภัณฑ์ และร่วมเก็บขยะที่หาดซันไรซ์

         การจัดกิจกรรมครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน อาทิ สอ.รฝ 491 สถานีตำรวจภูธรเกาะหลีเป๊ะ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ตำรวจท่องเที่ยวสตูล ฝ่ายปกครองเกาะหลีเป๊ะ โรงพยาบาลสตูล สมาคมผู้ประกอบการเกาะหลีเป๊ะ และประชาชนจิตอาสา รวมผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งสิ้น 70 นาย

 

        ทั้งนี้ การดำเนินงานอยู่ภายใต้การอำนวยการของ พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ พันตำรวจเอก พรศักดิ์ เลารุจิราลัย รองผู้บังคับการปราบปราม รักษาการผู้บังคับการตำรวจน้ำ

………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป

คืบหน้า สาวสตูลป่วยโรคประหลาด

คืบหน้า…สาวสตูลป่วยโรคประหลาด

           จากกรณีที่ทีมข่าวได้ลงพื้นที่บ้าน   ของนางวราภรณ์   เหล็มหา  อายุ 51 ปี (ที่ป่วยด้วยโรคประหลาด ขาทั้งสองข้างบวมเป่งและมีติ่งเนื้องอกขนาดใหญ่กว่า ลูกฟุตบอลที่หว่างขา  น้ำหนักของติ่งเนื้อที่ยื่นมานี้ไม่น้อยกว่า 20 กิโลกรัม ) สร้างความทุกข์ทรมานในการใช้ชีวิตเป็นอย่างมากและอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยรักษานั้น

 

         ล่าสุดวันนี้มีความคืบหน้าหลัง  นายแพทย์ระพี  เลาประสพวัฒนา  แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลละงูและทีมสหวิชาชีพ  พร้อมด้วย นางสาวณัติญา เฉลิม พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ อบต.กำแพง , ผู้ใหญ่บ้าน ,ทีมพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสตูล , อสม.และส่วนที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่บ้านเลขที่  37 หมู่ที่ 1 ตำบลกำแพง  อ.ละงู  ซึ่งเป็นบ้านของนางวราภรณ์   เหล็มหา  (ที่ป่วยด้วยโรคประหลาด ขาทั้งสองข้างบวมเบ่งและมีติ่งเนื้องอกขนาดใหญ่กว่า ลูกฟุตบอลที่หว่างขาหนักกว่า 20 กิโลกรัม )

 

          เพื่อขอดูอาการเบื้องต้น  และประวัติการรักษาที่ผ่านมาก่อนจะพบว่า  หลังพบว่าคนไข้รายนี้เคยรักษาตัวที่กรุงเทพฯ และได้ขาดการรักษาไปช่วงนึง   เนื่องจากว่าอาจจะติดในเรื่องของการเดินทางและสถานการณ์โควิด   ทางโรงพยาบาลละงู  เลยมาติดตามว่า  ขณะนี้การรักษาอยู่ที่ขั้นตอนไหนแล้ว

 

          ทางด้านนายแพทย์ระพี  เลาประสพวัฒนา  แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว โรงพยาบาลละงู  ได้ตรวจดูเบื้องต้นพบว่าสามารถรักษาไปตามระบบได้   เพราะคนไข้ยังไม่มีอาการติดเชื้อ  หรือมีภาวะเร่งด่วน  แต่พบว่ามีภาวะความยากลำบากในการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน    โดยได้วางแผนการรักษาโดยให้คนไข้เข้ารับการรักษาตามระบบ  ตามสิทธิ์ที่มีคือสิทธิ์บัตรทอง  โดยเริ่มต้นที่โรงพยาบาลชุมชนใกล้บ้าน  แล้วโรงพยาบาลละงู  จากการตรวจประเมินแล้วจะทำการส่งต่อไปยังแพทย์เฉพาะทาง ที่มีศักยภาพในการรักษาเพิ่มเติมต่อไป

 

         ส่วนโรคที่ประสบนั้นนายแพทย์ระพี  บอกว่า เกิดจากโรคน้ำเหลืองอุดตัน ทำให้น้ำเหลืองที่ย้อนลงมาที่ขาไม่กลับขึ้นไปตามระบบปกติ  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบริเวณเนื้อเยื่อที่ขา ต้องส่งไปหาคุณหมอที่รักษาเฉพาะทางเพื่อทำการผ่าตัดท่อน้ำเหลือง  ซึ่งโรคนี้สิทธิ์บัตรทองได้รักษาครอบคลุมอยู่แล้วรักษาได้ในทันที

 

        ด้านนางสาวณัติญา เฉลิม พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ อบต.กำแพง  บอกด้วยว่า ในส่วนของญาติหรือสามีคนไข้ให้เร่งไปดำเนินการย้ายชื่อบัตรทองจาก จ.นนทบุรี กลับมาที่บ้านเกิดสตูล เพื่อใช้สิทธิบัตรทอง และทางอบต.จะช่วยดูแลในด้านการเดินทางไปรักษายัง รพ.ต่างๆ เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว ซึ่งให้มาขึ้นทะเบียนเพื่อขอใช้สิทธิ์ที่ทาง อบต. ได้เตรียมไว้ให้สามารถดำเนินการได้ทันที

 

ขณะที่ด้านพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสตูลได้สอบถามเรื่อง ความเป็นอยู่และความสามารถในการดูแลบุตรสาววัย 14 ปี ที่กำลังเรียนโดยทางครอบครัวยืนยันว่ายังคงเลี้ยงดูได้ โดยทาง พมจ.ได้ส่งเรื่องเพื่อให้รับสิทธิ์เงินสงเคราะห์บรรเทาความเดือดร้อน ครอบครัวให้ด้วย

 

ซึ่งก็เป็นไปตามเจตนาของคนไข้ที่อยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำอย่างไรก็ได้ให้ช่วยให้ชีวิตของตนกลับมาใช้ตามปกติ อาจจะไม่หายขาด เพราะที่ผ่านมา  นางวราภรณ์   เหล็มหา  อายุ 51 ปี เคยผ่าตัดมาแล้ว 4 ครั้ง (แต่ได้ขาดการรักษาอย่างต่อเนื่องเอง)  แม้หลังผ่าตัดอาการจะดีขึ้นแต่โรคก็กลับมาเป็นอีก ซึ่งดีกว่าจะได้มีช่วงระยะพักตัวร่างกายบ้าง โดยตอนนี้อาการหนักขึ้นกว่าเดิม   ขาทั้งสองข้างบวมเบ่งและมีติ่งเนื้องอกขนาดใหญ่กว่า ลูกฟุตบอลที่หว่างขา  น้ำหนักของติ่งเนื้อที่ยื่นมานี้ไม่น้อยกว่า 20 กิโลกรัม

…………………………………………….

อัพเดทล่าสุด