Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

แปลกแต่จริง! ขนมทอดน้ำมันเย็น  แลมแปง  ขนมหาทานยากที่กำลังจะสูญหายไปจากหมู่บ้าน

แปลกแต่จริง! ขนมทอดน้ำมันเย็น  แลมแปง  ขนมหาทานยากที่กำลังจะสูญหายไปจากหมู่บ้าน

 

           ที่จังหวัดสตูลเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีขนมพื้นเมืองมากมาย   ดินแดนแห่งนี้มีพรหมแดนติดไทยมาเลเซีย  ทำให้วัฒนธรรมการกินมีการสืบทอดไปมา    ที่นี่จึงมีขนมที่มีชื่อแปลก ๆ และกรรมวิธีแปลกๆ แบบโบราณให้เห็นมากมาย 

 

           วันนี้ทีมข่าวไปเสาะหาขนมพื้นเมือง   ที่กำลังจะสูญหายไปจากพื้นที่    เพราะด้วยกรรมวิธีการทำที่พิเศษกว่าขนมทั่วไป  คือ    ต้องทอดในน้ำมันที่เย็นเท่านั้น  ไม่อย่างงั้น   ตัวขนมจะหักง่าย  และ เหี่ยว  หน้าตาไม่น่ารับประทาน    ขนมที่ว่านี่ก็คือ  ขนมแลมแปง  เป็นชื่อภาษามลายูที่มีความหมายเป็นห่วงคู่คล้องใจ  

 

          โดยส่วนผสมของขนมแลมแปง   ประกอบด้วย  แป้งข้าวเหนียว  ไข่ไก่  และเกลือนิดหน่อยผสมให้เข้ากัน  นวดจนเป็นเนื้อเดียวกัน   ปั้นเป็นห่วงคู่คล้องใจ    แล้วนำไปแช่ในน้ำมันทิ้งไว้   เพื่อไม่ให้ตัวขนมแห้ง   ก่อนที่จะนำมาทอดในน้ำมันที่เย็นในกระทะ  แล้วค่อยๆ เปิดไฟอ่อนๆ ให้ตัวขนมค่อยๆ ฟูตัวขึ้นแบบสม่ำเสมอกัน (ในขั้นตอนนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญชำนาญการพอสมควร)   ไม่อย่างนั้น   จะทำให้ตัวขนมแตกหัก  ไม่ได้รูปทรงตามที่ต้องการได้

 

         นางสภิณา สูสัน อายุ 40 ปี หรือ เป็นที่รู้จักในนามว่าร้านก๊ะหนา เป็นอีกหนึ่งคนที่สืบทอดการทำขนมแลมแปง ไม่น้อยกว่า 5 ปี ยอมรับว่า ขนมชนิดนี้จะต้องใช้ความอดทน ความชำนาญและความวิถีพิถัน ในการทำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะขั้นตอนการขึ้นรูปขนม และการทอดขนม ที่จะต้องให้น้ำมันมีความเย็นก่อนถึงจะใส่ตัวขนมลงไป แล้วค่อยๆเปิดไฟอ่อนๆให้ขนมพองตัวขึ้น โดยได้สืบทอดขนมนี้มาจากบรรพบุรุษ จะทำขายในช่วงเดือนฮารีรายอก่อนออกบวช 13 วันเท่านั้น ตอนนี้ในหมู่บ้านมีคนทำขนมชนิดนี้น้อยมาก ไม่เกิน 5 คนที่ทำขนมนี้เป็น

        โดยทางครอบครัวร้านก๊ะหนา จะทำขนมต้อนรับเดือนฮารีรายอเป็นรายได้เสริม 10 กว่าวันก่อนถึงเทศกาลฮารีรายอ สร้างรายได้เสริมในห้วงนี้ไม่น้อยกว่า 10,000 บาท ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำ และส่งตามร้านค้า สำหรับขนมแลมแปง เป็นขนมที่ได้รับความนิยมรับประทานเพราะมีคนทำน้อย เนื่องจากขั้นตอนที่ยุ่งยาก

        นางสาวนูรอัยนี มายาสัน อายุ 23 ปี บุตรสาวร้านก๊ะหนา ยอมรับว่าตนไม่ค่อยถนัดในเรื่องของการทำขนมแต่จะมาช่วยคุณแม่โพสต์ขายทางออนไลน์ และ รับออเดอร์ให้ ซึ่งก็ได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากโลกโซเชียล และอนาคตหวังว่าจะทำให้ขนมแลมแปง ขนมพื้นถิ่นในจังหวัดสตูลของตำบลควนสตอเป็นที่รู้จักกว้างขวางมากยิ่งขึ้น โดยจะจำหน่ายเป็นถุง 12 ชิ้นราคา 35 บาทหรือ 3 ถุง 100 บาท นอกจากนี้คุณแม่ยังทำขนมโดนัท , ขนมเขี้ยวหมีหรือขนมเขาควาย, และขนมไข่เต่าไส้สับปะรดจำหน่ายด้วย ผู้ที่สนใจสามารถติดต่อ 089 975 4537 หรือ 080 029 8913 เฟสบุ๊ค Noorainee Mayasan

          นางสาวบีเซาะห์ เกปัน นักประชาสัมพันธ์ชำนาญการ สังกัดสำนักปลัด อบต.ควนสตอ จังหวัดสตูล บอกว่า ขนมพื้นถิ่นในตำบลควนสตอมีอยู่มากมายหลายชนิด อาทิ ขนมบุหงาบุดะ ขนมไข่กรอบ ขนมลา และที่สำคัญขนมแลมแปง ที่หาทานยากก็สามารถมาหาซื้อได้ที่ตำบลแห่งนี้สามารถติดต่อสอบถามที่ได้ อบต.ควนสตอ หรือ ติดต่อโดยตรงกับทางร้านค้าทำขนมที่ให้เบอร์ไว้ได้เลยค่ะ

อัพเดทล่าสุด
Categories
สัมภาษณ์พิเศษ-คอลัมน์นิสต์

แกงไตปลาฟรีเวอร์ ศิลปินชาวใต้ชื่อดัง  น้ำกชพร   ออกบทเพลงเซฟอาหารปักษ์ใต้ พร้อมชวนคนไทยไม่ลืมอาหารบรรพบุรุษที่เป็นเอกลักษณ์

แกงไตปลาฟรีเวอร์…ศิลปินชาวใต้ชื่อดัง  น้ำกชพร   ออกบทเพลงเซฟอาหารปักษ์ใต้ พร้อมชวนคนไทยไม่ลืมอาหารบรรพบุรุษที่เป็นเอกลักษณ์

           “ไตปลาไม่หรอยตรงไหน   ไตปลาคืออาหารไทย  สุดยอดอาหารของเมืองใต้  ต้องยกให้ไตปลา” ท่อนฮุกในบทเพลง “แกงไตปลา”  โดย  ศิลปิน   (น้ำ กชพร)     หรือ  น.ส.กชพร   แกล้วกล้าหาญ   ศิลปินน้องใหม่ชาวปักษ์ใต้  ได้ออกบทเพลงชื่อ  แกงไตปลา  ที่กำลังเป็นกระแสในสังคมกับการจัดอันดับของชาวต่างชาติที่ให้เป็นอาหารยอดแย่   โดยบอกถึงแรงบันดาลใจในการแต่งบทเพลงในครั้งนี้ว่า  เป็นอาหารที่ตนชอบมาก  ไม่อยากให้ใครมาบูลลี่อาหารของเรา  เพราะเป็นอาหารอันดับ 1 ในใจเรา  การที่เขียนบทเพลงนี้ออกมาอยากให้ทุกคนได้รู้ว่า   อาหารชนิดนี้คือที่หนึ่งของเรานะ  มันอาจไม่ดีสำหรับคุณแต่มันดีสำหรับเราก็เลยอยากจะอธิบายออกมาเป็นบทเพลง   อยากจะบอกว่าอย่ามาบูลลี่อาหารของประเทศของฉัน

 

          และจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น   รู้สึกขำมากกว่าว่าคุณมาตัดสินให้  แกงไตปลา  เป็นอาหารที่แย่ได้อย่างไร   คุณเอาอาหารอะไรมาตัดสิน  อาหารที่คุณคิดว่าได้ที่ 1 อาจจะเป็นที่สุดท้ายของบ้านเราก็ได้   อยู่ที่ใครเป็นคนตัดสินมันไม่ยุติธรรม  มากกว่าการมาตัดสินกันแบบนี้และอยากจะแหลงเป็นภาษาใต้ว่า   “มันไม่หรอยตรงไหน   มันหรอยนะสำหรับฉัน”

   

          ศิลปิน น้ำกชพร   บอกด้วยว่า   โดยส่วนตัวแล้วน้ำเองมีความสัมพันธ์กับแกงไตปลาเป็นอย่างมาก  เริ่มกินแกงไตปลาตั้งแต่ป.2  ป.3  เด็ก ๆ กินเกือบทุกวันช่วยแม่ขายของในตลาด  ตอนเรียนมหาวิทยาลัยราม  ก็ทำกินตลอดเลยจน  เพื่อนๆ ที่สนิทสมัยเรียนรามฯ ครูก็จะให้ฉายาว่า น้ำเคย   เพราะกินไตปลาทุกวันจนครูเรียกว่า  น้ำเคย  ภาษาใต้ก็จะเรียกแกงไตปลาว่า  น้ำเคย

 

          จริงๆในการเขียนเพลงนี้ขึ้นมา  นอกจากอยากจะสื่อให้ตัวเองสบายใจแล้ว   ก็อยากให้คนที่ไม่รู้จักแกงไตปลาได้รู้จัก  ถ้าใครไม่รู้จักก็ไม่อยากให้ใครมาบูลลี่  หรือมาจัดอันดับว่าของเราเป็นอันดับสุดท้าย  โดยคิดว่าแฟนเพลงทางใต้น่าจะโดนใจ  ก็น่าจะมีความคิดเหมือนกันกับน้ำฯ  และวันนี้จะปล่อยบทเพลง  แกงไตปลา  ออกอากาศทางยูทูป กชพรมิวสิค  TikTok น้ำ กชพร และเพจ น้ำ กชพร  พร้อมกันทั่วประเทศ

 

          สำหรับผลงานช่วงนี้ก็จะปล่อยเพลงรัวๆ ก่อนสงกรานต์อย่างบทเพลง โบ๋ชาย และยิ่งเสพข่าวในช่วงนี้ก็มีข่าวเยอะแยะมากมายเป็นแนวข่าวสะเทือนใจ   จะได้ทำเพลงทิ้งไว้ 1 เพลงที่ยังไม่ได้ปล่อย  ชื่อเพลงว่า  ปลงเท่านั้น   เวลากลับบ้านก็อยากฟังเพลงนี้มาก คือปลง  รู้สึกว่าโล่งอกและดี   หลังจากตัดปล่อยใน tiktok ก็ได้รับกระแสตอบรับดีมาก 3 วันเกือบ 20,000 คนเล่น

            สำหรับบทเพลงของ   น้ำกชพร   ก็จะมีหลายแบบ แบบที่ดังในติ๊กต๊อกเกือบล้านคลิปจะเป็นเพลงแนวให้กำลังใจ นับหนึ่งแล้วเริ่มต้นใหม่  เพลงที่เป็นที่นิยมมาก ๆ ก็จะเป็นเพลงเกี่ยวกับให้แนวคิดเหมือนอย่างบทเพลง  ไม่มีใครใหญ่ไปกว่าโลง  จะให้แนวคิดว่าไม่ว่าเราจะยิ่งใหญ่แค่ไหน  รวยจน ก็ต้องตายทุกคนอย่าไปแกร่งแย่งกัน  ช่วงนี้ก็จะมีงานเข้ามาเยอะโดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์จะไปเดินสายเล่นคอนเสิร์ตที่มาเลเซียไปที่รัฐเคดาห์   รัฐอลอสตาร์ 

 

          อยากจะฝากให้พี่น้องชาวใต้ทุกคนและก็เชื่อว่าพี่น้องชาวใต้ทุกคนไม่ลืม  แกงไตปลา  อย่างแน่นอน เป็นสิ่งที่พ่อแม่และบรรพบุรุษของเราสืบทอดมาอย่างช้านาน  เชื่อว่าทุกคนต้องเคยเจอและเคยรับประทาน  อาจจะชอบบ้าง  ไม่ชอบบ้าง  แต่ส่วนใหญ่ให้เป็น number one อยู่แล้ว ฝากพี่น้องทุกภาคอย่าทิ้งแกงไตปลา  ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อัตลักษณ์ของภาคใต้เราฝากสนับสนุนเพลง  แกงไตปลา   ของน้ำกชพร  ศิลปินน้องใหม่ล่าสุดในวงการทางใต้ด้วยนะคะ 

……………………………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวเด่น

รมว.ยธ.เยี่ยมบ้านพักใจสตูล เตรียมดันให้เป็นโมเดลภาคใต้ ที่ใช้ศาสนบำบัดคืนคนดีสู่สังคม พร้อมยอมรับการศึกษามีผลต่อการแก้ปัญหายาเสพติด

รมว.ยธ.เยี่ยมบ้านพักใจสตูล เตรียมดันให้เป็นโมเดลภาคใต้ ที่ใช้ศาสนบำบัดคืนคนดีสู่สังคม พร้อมยอมรับการศึกษามีผลต่อการแก้ปัญหายาเสพติด

             วันที่ 7 เมษายน 2567   พันตำรวจเอกทวี    สอดส่อง   รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  และคณะ เดินทางลงตรวจเยี่ยมและรับทราบปัญหายาเสพติด   ที่บ้านพักใจ    หมู่ที่ 2 ต.บ้านควน อ.เมืองสตูล โดยมีนายชาตรี ณ ถลาง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล  พร้อมด้วยปลัดจังหวัดสตูล  และนายกอบต.บ้านควนและส่วนที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ   พร้อมพบปะมอบนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติด   ให้กับแกนนำตำบลอาสา  9 ตำบล  ก่อนมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมที่ห้องประชุมเรือนจำจังหวัดสตูล  และตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของเรือนจำจังหวัดสตูล 

           จากนั้นพันตำรวจเอกทวี  สอดส่อง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  ได้เปิดเผยเกี่ยวกับแนวทางภาคเอกชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหายาเสพติด   เหมือนอย่างเช่นที่จุด  “บ้านพักใจ”  ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ว่า  บ้านพักใจ   ที่นี่เป็นสถานที่หนึ่งเป็นพักใจจริง ๆ  ที่เกิดขึ้นจากภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาร่วมแก้ปัญหาที่เกิดจากประสบการณ์เกี่ยวกับยาเสพติดด้วยตัวเองจากลูกของเจ้าของสถานที่   เกี่ยวข้องไปติดยาเสพติดและต้องไปบำบัด  ฟื้นฟู  รักษาในสถานที่อื่น   ชุมชนโดยเฉพาะในสตูลหลายแห่งก็ติดยาเสพติด   ก็ลุกขึ้นมาเพื่อทำประโยชน์ต่อสังคม  จึงมีสถานที่นี้ขึ้นมาเพื่อใช้ในการฟื้นฟู   กลุ่มบำบัด  เกี่ยวกับผู้ที่ติดยาเสพติด  ที่อยากให้กำลังใจเพราะปัญหายาเสพติด เป็นนโยบายสำคัญที่ต้องเร่งแก้ปัญหา  ทุกรัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลนี้  ที่ต้องการทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพเข้าไปอยู่ในสังคม 

          เมื่อดูแล้วพบว่าสถานที่แห่งนี้  เอกชนได้ช่วยงานราชการ   ส่วนราชการของบประมาณเพื่อแก้ปัญหายาเสพติดถึง 28 หน่วยงาน  แต่ที่นี่ไม่ได้ของบประมาณเลย  แต่แก้ปัญหายาเสพติดให้เราเห็นสภาพ   โดยใช้จุดแข็งคือศาสนบำบัด  โดยเฉพาะที่สำคัญในฐานะ  รัฐมนตรียุติธรรม  อยากจะทีมงานภาคประชาชนที่ลุกขึ้นมาช่วยแก้ปัญหายาเสพติด   คือทางภาครัฐทำเป็นเต็มที่แล้ว  แต่ภาครัฐไม่ได้นอนในหมู่บ้าน  ชุมชน   ภาครัฐจะเป็นผู้หวังดี  แต่ชุมชนจะเป็นผู้รู้ดี   จากนี้สิ่งที่เราต้องทำก็ต้องช่วยส่งเสริมสนับสนุน   ช่วยยกระดับคุณภาพโดยเฉพาะสตูลในอนาคตเป็นโอกาสของประเทศไทย   คือการสร้างเศรษฐกิจที่ดี   การจะมีเศรษฐกิจที่ดีจังหวัดสตูลมีความพร้อมทางด้านการท่องเที่ยว   ประมง  เกษตร   เป็นศูนย์รวมความมั่นคงทางอาหารของโลกอยู่ที่สตูล   โดยเฉพาะหลังๆเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นมรดกโลก    ถ้าสังคมสตูลได้ประชากรมีขีดความสามารถในทศวรรษหน้า   หากติดยาเสพติดก็จะเป็นปัญหาต่อการพัฒนามาก   ก็จะส่งเสริมสนับสนุนที่พักที่นอนและการปฏิบัติศาสนกิจที่ยังขาด

            ช่วงเปลี่ยนผ่านยังไม่พร้อม   ไปที่ไหนก็อยากให้มีศูนย์บำบัดเพิ่มขึ้น แต่ถ้าผู้เสพหรือผู้ป่วยไม่ไป   ก็เหมือนสร้างแล้วเป็นสุสาน   เพราะมันอยู่ที่ตัวคุณด้วย   วันนี้ โมเดลของบ้านพักใจก็เป็นหนึ่งในโมเดลที่เราคิดว่าจะขยายไปในบริบทของจังหวัดชายแดนภาคใต้และจังหวัดในภาคใต้   ซึ่งมีชุมชนเป็นพี่น้องมุสลิม   แต่ในศูนย์บำบัดที่มีใครพุทธด้วยอันนี้  มุสลิมด้วย  ก็เป็นสิ่งที่ดี   ที่มีประชาชนสงสัยเพราะได้คุยกับหมอชลน่านแล้ว  ต่อจากนี้จะจับมือกันเดิน ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนเราต้องทำมากกว่าพูด   พูดในสิ่งที่ดีเราจะปรับปรุงตัว

          เราพร้อมสนับสนุน ในภาคประชาชนถ้าเข้ามาช่วยเป็นส่วนหนึ่งของกระทรวงยุติธรรม  อย่างน้อยตัวผมสนับสนุนเต็มที่ตอนนี้มีตำบลต่าง ๆ อาสาในพื้นที่ 70  และในวันที่ 20 เดือนหน้าก็จะไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนในภาคกลาง  ลพบุรีมีนายกเก่ง โครงสร้างชุมชนในการฟื้นฟูยาเสพติด  แต่เขาก้าวไปมากกว่ายาเสพติดเป็นการฟื้นฟูคนให้มีอนาคตที่ดี

#รมว.ยธ.ยอมรับอ่อนประชาสัมพันธ์ แนวทางสร้างความเข้าใจสังคม  

         ผู้สื่อข่าวถามว่าให้เปอร์เซ็นต์การปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาลชุดนี้อย่างไรบ้าง?     รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  บอกด้วยว่า   เรื่องสกัดกั้นเราทำเยอะแล้ว  แต่เราอาจต้องก้าวผ่าน   ถ้าประชาชนยังมีความหวาดวิตกหรือกังวลกับ ยาบ้า  หรือยาเสพติด   อันนั้นถือว่ารัฐบาลยังไม่ผ่าน   แล้วสิ่งหนึ่งที่ผ่านมาคือเราจะเห็นข่าวอาชญากรรม  พอมีข่าวมีผลมาจากยาเสพติดซึ่งคือผู้ป่วยจิตเวช   ซึ่งความจริงผู้ป่วยจิตเวชมีเป็นล้าน   ยาเสพติดไม่เยอะ   สาเหตุของจิตเวชก็มาหลายแห่ง   พอผู้ก่อเหตุจากจิตเวชก็จะโยนให้ยาเสพติด  เราก็ต้องทำความเข้าใจ   เราก็อย่าไปปฏิเสธว่าไม่ใช่ยาเสพติด  หน้าที่เราเราต้องไปรักษาคนที่ป่วยเป็นจิตเวช  เพราะจิตเวชต้องรักษาด้วยยา  ถ้าขาดยาเคมีไปทำลายสมอง เหมือนคนที่เป็นเบาหวานเป็นความดันอย่าไปรังเกียจเขา  เราอาจจะเอาสองอันมาผนวก   ต้องเสมอต้นต้นเสมอปลายในการให้ยา   บางทีเรามาแยกว่าจิตเวชเพราะยาเสพติด  หรือจิตเวชเพราะอื่น ๆ หมอก็ยังแยกไม่ได้   แต่สื่อมวลชนแยกแล้วก็ทำให้ยาเสพติดน่ากลัว

 

# รมว.ยธ.เชื่อการศึกษามีผลต่อการแก้ปัญหายาเสพติด

         ผู้สื่อถามว่าการทำงานในขณะนี้ถือว่าไม่ประสบความสำเร็จหรือไม่ในการแก้ปัญหายาเสพติด? รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม  ตอบว่า  คิดว่าเราเดินทางมาถูกต้องแล้ว  ทุกคนตระหนักถึงยาเสพติดด้วยกัน   เราก็ต้องแก้ปัญหามันอาจจะหมักหมมมานานว่าปัญหายาเสพติดส่วนหนึ่ง   ที่ถูกพิสูจน์แล้วว่าเกิดจากคนไม่มีการศึกษา  หรือการศึกษาน้อยจะถูกดำเนินคดี  เพราะผู้ต้องขังในเรือนจำพบว่ามีการการศึกษาต่ำกว่าภาคบังคับประมาณ 75%   นี่แสดงว่าการศึกษาภาคบังคับในประเทศไทยต้องให้เกิน   การแก้ปัญหายาเสพติด  ก็คือการแก้ปัญหาการศึกษา  ทำอย่างไรให้ทุกหมู่บ้านทุกชุมชนได้เรียนจบ ม.6 ทั้งหมด   อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำให้ได้เพราะทุกคนได้รับเงินจากรัฐบาลผ่านกระทรวงศึกษาคนละประมาณ 5 หมื่นกว่าบาท เพื่อให้ได้รับการศึกษาก็จะช่วยลดในการแก้ปัญหายาเสพติด

…………………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-ชวนล่องเรือหา  สาหร่ายสาย  เรียบป่าโกงกางเมนูธรรมชาติพื้นถิ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง  มีเยอะฤดูแล้ง เตรียมส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

สตูลชวนล่องเรือหา  สาหร่ายสาย  เรียบป่าโกงกางเมนูธรรมชาติพื้นถิ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง  มีเยอะฤดูแล้ง เตรียมส่งเสริมเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์

            ในช่วงน้ำ 14 ถึง 15 ค่ำ  และ 1 ถึง 2 ค่ำฤดูแล้งชาวบ้านหมู่ที่ 8 บ้านนาพญา  ตำบลละงู อำเภอละงู  จังหวัดสตูล  จะนำเรือออกล่องไปตามลำคลองเรียบป่าโกงกางเพื่อหา  สาหร่ายสาย (สาหร่ายขนนก)  หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าหา  ลาโต๊ส  , ลาสาย หรือ สาย

          โดยแหล่งหาสาหร่ายสาย   จะมีด้วยกัน 2 ลำคลองคือ 1 โซนท่านาพญา  และ 2 โซนท่าพะยอม   ทันทีระดับน้ำในลำคลองลดลง   จนเกือบถึงยอดอกชาวบ้านที่ว่างเว้นการออกเรือหาปูดำ  หรือออกเรือหาแมงกะพรุน  ก็จะพากันออกไปหาในช่วงฤดูแล้งเพื่อเป็นรายได้เสริม

         โดยทุกคนที่มาหาจะมีทั้งวัยรุ่นและผู้สูงอายุอย่างคุณลุงปิยะศักดิ์  เภอสม  วัย  68  ปี ที่ยอมรับว่าออกมาหาสาย  ตั้งแต่วัยหนุ่มนานถึง 30 ปีแล้ว   โดยเคยหามากสุดในชีวิตคือ 40 กิโลกรัม เมื่อหลายสิบปีก่อน  แต่ตอนนี้หาได้มากสุด 10 กว่ากิโลกรัม   โดยอุปกรณ์ก็จะมีแว่นตาดำน้ำ   และภาชนะสำหรับใส่   สาหร่ายสาย  โดยการหาในแต่ละครั้งจะต้องดำดิ่งลงไปในน้ำที่มีความลึกประมาณยอดอก  แต่หากลึกกว่านั้น   ก็จะหลีกเลี่ยงไปหาพื้นที่อื่นเพื่อเซฟร่างกายด้วยเช่นกัน   เพราะจะต้องกลั้นหายใจให้นานเพื่อที่จะไปดึง สาหร่ายสาย   ขึ้นมาจากน้ำให้ได้

        น้องวินกับน้องแม๊ค    บอกว่า  หากวันไหนไม่ออกเรือหาปูดำ  หรือหาแมงกะพรุน  พอเข้าสู่ฤดูแล้งก็จะออกมาหา   สาหร่ายสาย  หรือ  สาย  โดยช่วงแรก ๆ ก็จะออกมาหากับคุณพ่อ   พอรู้แหล่งพิกัดก็จะออกมาหาตามลำพัง     โดยพบว่า  สาหร่ายสาย  มักจะอยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนริมป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์   เมื่อกระโดดลงน้ำและเท้าถึงพื้น   สัมผัสว่ามีความนิ่มก็หมายความว่าบริเวณนั้นมี  สาหร่ายสาย  เป็นจำนวนมากนั่นเอง   ใน 1 ปีหาได้เพียงไม่กี่เดือน  โดยจะหาได้มากสุดก็ช่วงที่น้ำลดลงต่ำสุด  เพราะต้องใช้ความชำนาญในการกลั้นลมหายใจในการดำน้ำดึงสาหร่ายขึ้นมา  

          การออกมาหา  สาหร่ายสาย(สาหร่ายขนนก) หรือ  ลาโต๊ส  ในครั้งนี้ทีมเกษตรอำเภอละงูและทีมผู้ใหญ่บ้านรวมทั้งสมาชิกอบต.ละงู  ก็หวังจะผลักดันให้พื้นที่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์  กับอาหารพื้นถิ่นที่ขึ้นชื่อที่มีลักษณะเฉพาะ  เพราะจะมีทานในช่วงน้ำลงและฤดูแล้งเท่านั้น 

          นางสาวมนัสนันท์   นุ่นแก้ว   เกษตรอำเภอละงู  บอกว่า  หลังจากลงพื้นที่ในครั้งนี้จะเข้ามาส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มกันส่งเสริมอาชีพ  ร่วมกันทำกิจกรรม เช่น  การอนุรักษ์สาหร่ายสายให้อยู่คู่กับลูกหลาน และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์   โดยจะทำร่วมกับผู้นำท้องที่ท้องถิ่นเพื่อต่อยอด   โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอละงู

 

           นายตารอด   ใบหลำ   ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 8  บอกว่า   สาหร่ายสาย  นับเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการเป็นอย่างมากและที่นี่ก็จัดเป็นอีกหนึ่งแหล่งที่มีสาหร่ายสาย หรือ  ลาโต๊ส  เยอะที่สุดอีกหนึ่งแหล่งในจังหวัดสตูล   โดยอนาคตก็เตรียมผลักดันให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์   โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมป่าโกงกางที่อุดมสมบูรณ์มาดูวิถีชีวิตของชาวบ้านในการหาสาหร่าย   ชิมกันสดๆ  ถึงอรรถรสความกรอบ  ใหม่สดของสาหร่ายชนิดนี้  ที่ชาวบ้านนาพญา  ตำบลละงู  อำเภอละงูจังหวัดสตูลพร้อมดูแล  

         

         ด้าน   กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง  ภายใต้การดำเนินงานของศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ 5 สตูล  ได้ศึกษาวิจัยการใช้  สาหร่ายสาย  หรือ  สาหร่ายขนนก  พบสรรพคุณที่โดดเด่นคือมีสารต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งมีวิตามินที่ร่างกายต้องการ     สาหร่ายชนิดนี้จะเจริญเติบโตในที่มีคุณภาพน้ำที่สะอาดเท่านั้น   ชาวบ้านส่วนใหญ่ใช้รับประทานเป็นผักจิ้ม (โดยการล้างให้สะอาดก่อนนำมากิน เพราะสาหร่ายสายเมื่อถูกน้ำจืดเพียงไม่นานก็จะตายหากไม่รีบทาน )   พบในช่วงฤดูแล้งเดือนมีนาคม – พฤษภาคมและจะเริ่มลดลงเมื่อเข้าหน้าฝนในช่วงมิถุนายนถึงตุลาคม   สำหรับพื้นที่พบสาหร่ายสาย   ตามแนวชายฝั่งอำเภอท่าแพ,ละงู ,ทุ่งหว้า  เพราะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมีลักษณะเป็นหินดินดานเป็นโคลนทราย

 

           พื้นที่ความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนนั้นพบว่า  มีคุณประโยชน์อย่างอเนกอนันต์ไม่ว่าจะเป็นทางตรงและทางอ้อม   สรรพสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิดที่เข้ามาพึ่งพิงจะใช้ประโยชน์จากป่าชายเลน   ในแง่ของแหล่งอาหารที่อยู่อาศัยแหล่งหลบภัยเช่นเดียวกับสาหร่ายสาย หรือ สาหร่ายขนนก   ที่ยึดเอาป่าชายเลนเป็นเสมือนบ้านของตนเองยังคุณประโยชน์ให้แก่ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น   ได้เก็บหามาบริโภคในครัวเรือน   และยังสามารถขายเพื่อเป็นรายได้จนเจอครอบครัวอีกด้วย    นับเป็นการเกื้อกูลเอื้อประโยชน์แก่กัน    ทั้งป่าชายเลน  สาหร่าย  และชาวบ้านในบริเวณนั้นประโยชน์จากสาหร่ายสาย   ชาวบ้านมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และนำไปสู่วิถีแห่งภูมิปัญญาจากรุ่นสู่รุ่นได้ต่อไป

         ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : 064-0456565

………………………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-ชาวสตูลแห่สั่งแกงไตปลาเพื่อประกาศศักดา   เมนูยอดเยี่ยม  แนะวิธีทานไม่ใช่ซุป แม่ค้าลั่นกระแสตีกลับรับออเดอร์กันรัวๆ

สตูล-ชาวสตูลแห่สั่งแกงไตปลาเพื่อประกาศศักดา   เมนูยอดเยี่ยม  แนะวิธีทานไม่ใช่ซุป แม่ค้าลั่นกระแสตีกลับรับออเดอร์กันรัวๆ

 

        วันที่ 4 เมษายน 67  หลังต่างชาติได้จัดอันดับให้เมนูพื้นถิ่นปักษ์ใต้อย่างแกงไตปลาเป็นเมนูยอดแย่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก   ได้มีกระแสตีกลับส่งผลให้ order  หลายร้านสั่งกันรัวๆ  เพิ่มยอดขายให้กับหลายร้านค้าในพื้นที่จังหวัดสตูล 

        อย่างเช่นที่ร้านอาหารน้องเบียร์  (ตรงข้ามศาลากลางจังหวัดสตูล) ตำบลพิมาน  อำเภอเมืองสตูล  ร้านอาหารเก่าแก่ ที่เปิดมานานกว่า 35 ปี ที่ขึ้นชื่อเกี่ยวกับอาหารพื้นถิ่นปักษ์ใต้โดยเฉพาะเมนูแกงไตปลา  มียอดสั่งรัวๆ จากลูกค้าเข้าเช้าเดียวถึง  40 ชุด  โดยสั่งเป็นกับข้าว  บ้างสั่งเป็นอาหารชุดทานกับหมูฮ้อง(เมนูพื้นที่)    บ้างก็สั่งทานกับขนมจีน  ทำให้เมนูที่ต่างชาติบอกว่าเป็นเมนูยอดแย่  แต่ในภาคใต้  กับเป็นเมนูยอดเยี่ยม และทำเงินสร้างงานให้กับหลายร้านค้า

 

        นางอุไรวรรณ  ธชพันธ์   แม่ครัวมือหนึ่งของร้านอาหารน้องเบียร์ บอกว่า  สูตรความอร่อยของแกงไตปลา  อยู่ที่เครื่องแกงและไตปลาที่ใช้ของแต่ละครัว  เหมือนอย่างที่ร้านจะใช้ไตปลาจรวด และเครื่องแกงที่ทำเองแบบสดวันต่อวัน  นอกจากนี้ส่วนผสม  เหมือนอย่างที่ร้าน  จะใส่หน่อไม้  มะเขือพวง กุ้งสดสับเพิ่มความเข้มข้นของน้ำแกงไตปลา   เนื้อปลาหางแข็งที่ผ่านการย่างให้แห้งแกะเป็นชิ้นใหญ่ๆ   แล้วนำส่วนผสมทุกอย่าง  ใส่ลงไปทันทีที่เครื่องแกงไตปลาเดือด  โดยไม่ต้องปรุงอะไรเพิ่มเติม  เพราะแกงไตปลามีความเค็ม  มีความหวานของปลา   กุ้งสับ  และความหวานของผักที่ใส่อยู่ในตัวอยู่แล้ว 

       

        ด้านนางอจรี   ธชพันธ์   เจ้าของร้านบอกว่า   หลังการจัดอันดับให้เมนูแกงไตปลาเป็นเมนูยอดแย่ในเรื่องนี้เห็นว่า   ชาวต่างชาติอาจจะทานแกงไตปลาไม่เป็น   อาจจะทานเหมือนกับทานซุป   ตักซดเพียวๆ   ก็ทำให้รสชาติดูเหมือนแย่ได้   แต่การทานแกงไตปลาของทางภาคใต้จะต้องราดบนข้าวสวยร้อนๆ  หรือทานกับขนมจีน  หรือจะต้องมีเครื่องเคียงอย่างหมูฮ้อง  ก็ใช้ความหวานตัดรสชาติก็จะยิ่งเพิ่มความอร่อย  หรือจะเป็นไข่ต้ม  นับเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมของคนภาคใต้มากกว่าจะให้เป็นอาหารยอดแย่    

       

         และยิ่งมีการจัดอันดับให้เป็นอาหารยอดแย่ของชาวต่างชาตินั้นยิ่งทำให้มีออเดอร์สั่งอาหารเมนูแกงไตปลาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเหมือนอย่างเช่นวันนี้   มีลูกค้าสั่งเข้ามาทันที เพื่อจะยืนยันว่าเมนูแกงไตปลาเป็นอาหารยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง  หากลูกค้าท่านใดสนใจอยากชิมเมนูแกงไตปลาสูตรร้านอาหารน้องเบียร์สามารถต่อได้ที่หมายเลข  074-722-490 

………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล-ร้อนนี้ปลูกอ้อยขายน้ำ   สร้างเงินเดือนแตะแสนบาท  

สตูล-ร้อนนี้ปลูกอ้อยขายน้ำ   สร้างเงินเดือนแตะแสนบาท  

          ในช่วงสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งในระยะนี้  ได้ส่งผลให้ไร่อ้อยในพื้นที่หมู่ 4 บ้านลาหงา  ตำบลละงู  อำเภอละงู จังหวัดสตูล  มีรสชาติที่หวานหอมและพร้อมจะบริโภค  สู่ตลาดที่มีความต้องการในระยะนี้เพื่อดื่มคลายร้อน

          นายเจ๊ะหยัน   ลัดเลีย  วัย 74 ปี เปิดเผยว่า  ทำมาแล้วหลายอาชีพ  ทั้งประมงและทัวร์นำเที่ยว  แต่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต  เมื่อหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำไร่อ้อยแม้จะเป็นอาชีพที่ไม่โดดเด่น   แต่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้  โดยตัดสินใจโค่นต้นยางพารา 7 ไร่  เพื่อปลูกอ้อยพันธุ์  สายน้ำผึ้งนานร่วม 12 ปี  ด้วยรสชาติอร่อย  หอม  หวาน  ขายได้ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในเดือนรอมฎอน  ยอดสั่งซื้อจะดีมากหลายเท่าตัว  

         การปลูกอ้อยสำหรับคุณลุงเจ๊ะหยัน  จะปลูกเพียงครั้งเดียวสามารถให้ผลผลิตนานถึง 7 ปี จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกับไผ่  เพียงตัดให้เหลือหน่อไว้   การดูแลให้ปุ๋ย  บำรุงดิน  และตกแต่งพันธุ์อ้อยให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์  ตรงตามความต้องการของตลาดผู้บริโภคที่นิยมซื้อเป็นลำเพื่อไปขายต่อ  และสั่งเป็นน้ำอ้อยที่คั้นสำเร็จรูปก็สร้างรายได้อย่างงามให้กับครอบครัวของคุณลุงเจ๊ะหยัน

         วิธีการเลือกต้นอ้อยที่สามารถตัดขายได้ต้องอายุ 8 เดือนขึ้นไป เลือกสีลำอ้อยที่น้ำตาลแก่เข้ม ลูกค้าจะจะมาซื้อเป็นลำวันละ 400-600 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 6 บาท หากทำเป็นน้ำอ้อยคั้นขายวันละ 200 ถุงจำหน่ายถุงละ 7 บาทหากเป็นขวดละ 10 บาท    สำหรับพื้นที่หมู่ 4 บ้านลาหงา  จะปลูกต้นอ้อยไม่น้อยกว่า  200 ไร่ เฉลี่ยเจ้าละประมาณ 3 ไร่ โดยอ้อยที่ปลูกพันธุ์สายน้ำผึ้งจะมีเปลือกที่บาง ลูกค้าจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็มาหาซื้ออ้อยจากที่นี่

          นายเจ๊ะหยัน   ลัดเลีย  วัย 74 ปี  บอกด้วยว่า   โดยอ้อยพันธุ์นี้มีรสชาติหวานหอม  ก่อนหน้านี้เคยปลูกพันธุ์สิงคโปร์ช่วงหลังๆไม่ได้รับความนิยม  การปลูกอ้อยอยู่ที่การดูแลบางคนปลูก 1 ปีหรือ 2 ปีก็ผ่านพ้นไม่ได้ตกแต่งดูแล สำหรับของป๊ะดูแลพันธุ์อ้อยเพียงครั้งเดียวสามารถอยู่ได้ 6-7 ปี สร้างรายได้ปีละแสนบาท  อนาคตอยากจะกระตุ้นให้ลูกหลานเดินตามรอยแปรรูปและส่งเสริมการปลูกอ้อยเป็นสินค้า OTOP จากอ้อยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาหมู่บ้านเรา  หากสนใจติดต่อมาช่องทางเบอร์โทร 082-4283950

 

         นายวิทวัส เกษา  ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 บ้านลาหงา  บอกว่า  ก่อนหน้านี้จะมีการปลูกปาล์มน้ำมัน ในช่วงนั้นต้นปาล์มยังเล็กอยู่ก็มีการนำอ้อยมาปลูกเสริม  ในช่วงแรกๆก็จะเป็นการเร่ขายภายในหมู่บ้าน  หลังจากนั้นก็มีเพื่อนบ้านต่างจังหวัดเข้ามาซื้อ  วันละหลายตัน  ในขณะนั้นก็จะมีเพียง 5-6 เจ้าเท่านั้น แล้วปัจจุบันก็มีหลายร้อยไร่  ตอนนี้ 10 กว่าเจ้าภายในหมู่บ้านขายตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำขายน้ำอ้อย 

 

          นางสาวมนัสนันท์   นุ่นแก้ว  เกษตรอำเภอละงู  บอกว่า  จากลงพื้นที่ทางสำนักงานเกษตรอำเภอละงูจะเข้ามาช่วยผลักดันให้เกิดการรวมกลุ่มของเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย  สำหรับพื้นที่ตรงนี้  หมู่ที่ 4 บ้านลาหงา  มีการปลูกอ้อยร้อยกว่าไร่ กับเกษตรกร 20 กว่าราย  จะผลักดันให้มีการรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อจดวิสาหกิจชุมชนโดยทางเกษตรอำเภอละงู  จะเข้ามาส่งเสริมในเรื่องของการบริหารจัดการกลุ่ม  การแปรรูป  เท่าที่ดูกลุ่มนี้ก็มีการแปรรูปเบื้องต้น ทั้งแปรรูปเป็นน้ำอ้อย และน้ำตาลอ้อย อาจจะมีการต่อยอดให้มีการแปรรูปผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น

………………………………..

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

สตูล สืบทอดขนมโบราณ “ลอเป๊ะ” จากรุ่นคุณยายขายดีช่วงรอมฎอน เด็กรุ่นใหม่ชื่นชอบ

สตูล สืบทอดขนมโบราณ “ลอเป๊ะ” จากรุ่นคุณยายขายดีช่วงรอมฎอน เด็กรุ่นใหม่ชื่นชอบ

          ขนมโบราณพื้นบ้านอย่าง  ขนมลอเป๊ะ  ขนมตาล และหม้อแกงต่างๆ  ต้องปรับราคาขึ้น  เนื่องจากราคาวัตถุดิบหลักอย่างน้ำตาล ไข่ และข้าวเหนียว พุ่งสูงขึ้น  ทำให้ร้านค้าต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด

          แม้วัตถุดิบหลายอย่างปรับราคาขึ้น  แต่ทางร้านในพื้นที่จังหวัดสตูลยังคงทำขนมพื้นบ้าน  ขายในห้วงเดือนรอมฎอน  หรือเดือนถือศีลอดของชาวไทยอิสลาม  อย่างขนมลอเป๊ะ  หรือ ขนมลูเป๊ะ  ที่ใช้ข้าวเหนียวเป็นวัตถุดิบหลัก คลุกกับมะพร้าวทึนทึกไปทางอ่อน  ทานกับน้ำตาลอ้อย   รสชาติอร่อย  เป็นหนึ่งเมนูขนมที่ขายดี  และเป็นขนมที่หลายคนคิดถึง   

          นางมาเรีย นาคบรรพต อายุ 30 ปี เจ้าของร้าน “กระจิ๊กandหวาชา” กล่าวว่า  ทำขนมไทยพื้นบ้านมาตั้งแต่รุ่นคุณตาคุณยาย   โดยเฉพาะ “ขนมลอเป๊ะ”  ขนมไทยโบราณที่ได้รับอิทธิพลมาจากอินโดนีเซีย โดยคนไทยที่ไปทำงานที่อินโดนีเซียนำวัฒนธรรมขนม  เข้ามาประยุกต์ให้เข้ากับพื้นที่จังหวัดสตูล  โดยส่วนผสมมีข้าวเหนียว 100%  กวนกับน้ำปูนหรือน้ำด่าง ก่อนนำมาห่อด้วยใบตอง  นำไปต้มประมาณ 45 นาที เมื่อต้มเสร็จพักให้เย็นนำมาตัดเป็นแว่น คลุกกับมะพร้าว  ตัวข้าวเหนียวจะมีรสชาติจืดๆ  ทานด้วยน้ำตาลอ้อยที่นำมาเคี่ยวราดลงไป  ก็จะหวานลงตัวพอดี  เป็นขนมที่ถือว่าโบราณมากๆ  คุณแม่บอกว่าทำตั้งแต่รุ่นโต๊ะ หรือคุณยาย  เป็นขนมที่สามารถเลี้ยงครอบครัวได้เลย  เมื่อก่อนจะหากินได้เฉพาะช่วงเทศกาลเท่านั้น  แต่ตอนนี้ก็มีวางขายตามปกติทั่วไปแล้วในช่วงเช้าของคนจังหวัดสตูลด้วย

            นอกจากขนม ลอเป๊ะ ที่เป็นต้นตำรับแล้วยังมีขนมอื่นๆอีกด้วย  ไม่ว่าจะเป็นหม้อแกงถั่ว  หม้อแกงไข่ และข้าวเหนียวสังขยา  นี่ก็เป็นขนมที่อยู่ในช่วงเทศกาล   ปกติขายกล่องละ 10 บาท  แต่ตอนนี้ต้องปรับขึ้นเป็น 12 บาท   ส่วนราคาส่งจาก 8 บาท  ปรับเป็น 10 บาท   สาเหตุหลักมาจากราคาวัตถุดิบ เช่น น้ำตาลทราย จากเดิมกิโลกรัมละ 21 บาท  ขึ้นเป็น 30 บาท  ไข่ไก่ จากแผงละ 90 กว่าบาท  ขึ้นเป็น 117 บาท  และข้าวเหนียว จากกิโลกรัมละ 25 บาท  ขึ้นเป็น 34-35 บาท  ทำให้รายได้ลดลง จากเดิมขายได้วันละ 4,000 บาท  เหลือเพียง 600-700 บาท 

            ด้านนายอนัญลักษณ์  สุขเสนา  ลูกค้าคนรุ่นใหม่  กล่าวหลังได้ชิมขนมว่า  ขนมลอเป๊ะนี้มีความแน่นของข้าวเหนียว  เมื่อได้กินคู่กับน้ำตาล  และมะพร้าวที่คลุกมากับข้าวเหนียว  จะให้ความรู้สึกว่าเคี่ยวเพลิน  มีความเค็มเล็กๆของมะพร้าว ตัดกับน้ำหวาน  จากใจเด็กรุ่นใหม่ คิดว่าขนมชนิดนี้จะเป็นขนมทานเล่นระหว่างวันได้เลย  และยอมรับว่าเพิ่งเคยทานที่นี่เป็นครั้งแรก  ก็ติดใจ  เคี่ยวเพลิน สามารถทานได้เรื่อยๆ

           ปัจจุบัน  ทางร้านเน้นรับออเดอร์ออนไลน์ และฝากขายที่ร้านลูกชิ้นซอย 17 ต.พิมาน อ.เมือง  จ.สตูล เพียงร้านเดียว   จากเดิมที่เคยฝากขาย 10 ร้าน   เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี   ทำให้บางร้านต้องเลิกขาย    สำหรับลูกค้าที่สนใจ  สามารถติดต่อร้าน “กระจิ๊กandหวาชา”   ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 080-545-5196   Line @0805455196   หรือ Facebook : maria nbpt

อัพเดทล่าสุด
Categories
สัมภาษณ์พิเศษ-คอลัมน์นิสต์

สัมภาษณ์พิเศษ  ปีเตอร์  พีรพัฒน์  รัชกิจประการ  ทายาท ส.ส.สตูล แนวคิดปลุกสตูลให้ตื่น เปลี่ยนโต้รุ่ง เป็น ตลาดแลจันทร์ ดึงลูกทัวร์มาเลเซียเข้าพื้นที่

สัมภาษณ์พิเศษ  ปีเตอร์  พีรพัฒน์  รัชกิจประการ  ทายาท ส.ส.สตูล  กับแนวคิดปลุกสตูลให้ตื่น เติมสีสัน เปลี่ยนโต้รุ่ง เป็น ตลาดแลจันทร์ ดึงลูกทัวร์มาเลเซียเข้าพื้นที่

           เป็นความหวังของชาวสตูลอีกครั้ง  เมื่อผู้บริหารหนุ่มคนรุ่นใหม่ มีแนวคิดจะเปลี่ยนโฉมตลาดโต้รุ่งเมืองสตูลที่หลายคนคุ้นเคย  ซึ่งมีมานาน 30 ปี  สู่  “ตลาดแลจันทร์” ศูนย์อาหารครบจบในที่เดียว ด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท  ให้ชาวสตูลมีช่องทางทำมาค้าขาย  และต้อนรับนักท่องเที่ยว  ชาวไทยและต่างชาติ ที่จะเข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้า

ทีมข่าวได้พูดคุยกับ “ปีเตอร์”  คุณพีรพัฒน์  รัชกิจประการ  วัย 30 ปี  บุตรชาย โกโต  คุณพิบูลย์  รัชกิจประการ  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์จังหวัดสตูล เขต 1  กับแนวคิดที่จะปลุกเมืองสตูลที่หลับใหล  ให้เศรษฐกิจสตูลกลับมาคึกคัก  

 

@ แนวคิด “ตลาดแลจันทร์”     

ครับ  ผมมีโอกาสไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ ตั้งแต่เด็ก  จบจากคณะสถาปัตย์  พอกลับมาประเทศไทยก็อยากทำโปรเจคที่ได้ใช้ความสามารถที่ได้เรียนรู้มาในเรื่องของการดีไซน์    ไอเดียของตลาดนี้เป็นสิ่งที่ทางบ้านผมอยากทำมานานแล้ว   แต่พอผมกลับมาเข้าช่วงโควิดพอดี  หลังจากโควิดเศรษฐกิจสตูลก็เห็นได้ชัดว่ามันแย่ลง    หลายคนบ่นว่าในเมืองสตูลนี้ค่อนข้างเงียบ   ไม่มีสีสัน   ผมจึงคุยกับคุณพ่อว่า เราทำอะไรได้บ้าง?  

สำหรับตัวผมเองเวลาเพื่อนจากต่างประเทศ   ญาติจากต่างจังหวัดมาสตูล   ถามผมว่าที่สตูลไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง?   ในฐานะที่เป็นคนสตูลเองก็รู้สึกอาย   ก็คิดว่าโปรเจคตลาดแลจันทร์ที่จะเกิดขึ้นจะตอบสนองความต้องการของคนสตูลได้ดี   ให้เมืองมีสีสันมากขึ้น   มีความคึกคักมากขึ้น

 

@ รูปแบบของตลาดเป็นแบบไหน วาง concept ไว้ยังไง ?

          ตลาดแลจันทร์เป็นตลาดกลางคืน เปิดตั้งแต่ 4 โมงเย็นไปจนถึง 4 ทุ่ม   ส่วนตัวตลาดเองก่อนหน้านี้เป็นตลาดโต้รุ่ง  ตลาดโตรุ่งเองก็มีพ่อค้าแม่ค้าอยู่แล้วประมาณ 70 ล็อค   หลักๆของผมที่ออกแบบตลาดจะคิดว่าถ้ามีพ่อค้าแม่ค้ามากขึ้น   ผมก็ต้องหาลูกค้ามาให้มากขึ้นเช่นกัน   วันนี้คนมาเดินโต้รุ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เดินมาซื้ออาหารซะส่วนใหญ่   เป็นกลุ่มลูกค้าที่เช็คอเวย์  จะมี LINE MAN มาซื้อ   ก็เลยคิดว่าถ้าหาลูกค้าเพิ่ม   ก็ต้องเข้าใจก่อนว่าคุณสตูลชอบแบบไหน  คนสตูลเวลากลางคืนชอบไปนั่งร้านน้ำชา    ตอนดีไซน์ตลาดขึ้นมาคิดว่าต้องมีโซนนั่งชิลล์   ให้คนมานั่งทานอาหาร   ซึ่งเป็นที่โล่งๆ  สามารถดูดาวหรือพระจันทร์ได้   มันเป็นส่วนหนึ่ง  

 

         นอกจากนี้ก็จะมีโซนหลักๆอีกสองโซน   จะเป็นโซนลานจัดกิจกรรม   จะมีของตกแต่งสวยงามมีต้นไม้   แสงสี   เป็นจุดเช็คอิน    คิดว่าการจัดกิจกรรมจะทำให้เมืองมีสีสันมากขึ้น  ถ้าในพื้นที่มีการจัดงานไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่   หลักๆคืออยากให้พื้นที่จัดงานตรงนี้สามารถมาจัดได้ฟรี   อยากให้คนสตูลได้ออกอีเวนท์ต่างๆ   ถ้าในตลาดมีจุดเช็คอินสวยๆ  ก็จะดึงลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาไม่ว่าจะเป็นชาวต่างชาติ   หรือคนต่างจังหวัดเข้ามา   ไหนๆก็จะทำตลาดทั้งทีจึงคิดว่าก็ทำให้ดีไปเลย    ของเราจะมีการคัดแม่ค้า   อยากจะประชาสัมพันธ์ตัวเองว่าเป็น Local best   หรือ สินค้าท้องถิ่นที่ดีที่สุด   ที่จะมาขายในตลาดของเรา   ตัวตลาดเองก็จะเป็นพื้นที่ปูนคอนกรีต   ทางตลาดจะมีสิ่งอำนวยความสะดวก   เช่น  ห้องน้ำ   ลานจอดรถ   จะมีแม่บ้าน   มียาม  มีกล้องวงจรปิด   ดูแลเรียบร้อย

@ รองรับจำนวนลูกค้าได้มากน้อยแค่ไหน ?

          ปัจจุบันนี้ลูกค้ามาที่โต้รุ่งก็เกือบ 1,000 หรือมากกว่า 1,000 คน   ในอนาคตก็จะมีที่จอดรถเพิ่มให้ด้วยหลัก 2,000 คน ก็น่าok.  เพราะตลาดเรามีถนนล้อมสามด้าน  มีที่จอดรถเยอะเป็นพิเศษ

 

@ กลุ่มเป้าหมายนอกจากเป็นคนในท้องถิ่น  คนต่างจังหวัด  และต่างประเทศ  เราเล็งกลุ่มไหนไว้เป็นพิเศษ ?

          หลักๆก็ต้องเป็นเพื่อนบ้าน   คือกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลเซีย  ที่จริงคนมาเลเซียมาเที่ยวสตูลเยอะมาก   เพียงแต่ไม่ได้ผ่านเข้ามาในเมือง   ก็ได้มีการเข้าไปคุยกับกลุ่มทัวร์ในมาเลเซียว่า  คุณสนใจที่จะมาลงที่นี่ไหม  เพราะเขาทำทัวร์เหมือนกัน   เวลามาสตูลก็จะไปดูนกที่ตำมะลัง  ไปทานอาหารทะเลที่ตันหยงโป  จึงเสนอไปว่า  “ทัวร์ของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นไหมถ้าคุณมีที่อื่นให้ไปด้วย”   ซึ่งเค้าก็สนใจติดต่อเข้ามา

 

@ สิ่งที่เป็นห่วงของการทำตลาดตรงนี้คือคุณพ่อให้คำชี้แนะยังไงบ้าง?

          พ่อเป็นคนอยากให้ทำ   พ่อเข้าใจดีว่าพี่น้องชาวสตูลต้องการอะไร   แต่ผมโชคดีตรงที่ผมมีที่ปรึกษาที่ดีเยอะ   เพราะพ่อมีเพื่อนเยอะ เจ้าของตลาดกรีนเวย์ ก็เป็นเพื่อนกับพ่อ  จริงๆแล้วมีเจ้าของตลาดเป็นที่ปรึกษาที่สำคัญมากสำหรับตลาดแลจันทร์   คือเวลามีอะไรก็จะถาม

 

@ ปัญหาอุปสรรค?

          เรื่องฝนก็เป็นปัญหาหลักปัญหาหนึ่ง   แต่โซนที่เป็นอาหารก็จะมีโซนที่ไม่มีหลังคา   ส่วนโซนที่มีหลังคาก็มีเช่นกัน    ปัญหาหลักๆที่นึกได้ก็คือ   พ่อค้าแม่ค้าชาวสตูลต้องเข้าใจว่าพวกเขามีงบไม่เยอะ   ส่วนหลักๆคือทำยังไงให้ค่าเช่าต่ำที่สุด   โชคดีตรงที่ว่าเจ้าของที่ดินเป็นที่ดินของกงสี ผมก็ไปเจรจากับทางกงสี  ซึ่งที่ดินกลางเมืองสี่ไร่นี้ถ้าคิดค่าเช่าจริงๆ คิดได้เยอะเลย   แต่ก็เจรจาขอให้ตลาดติดก่อนไม่ต้องขึ้นค่าเช่ากับแม่ค้า

 

@ สิ่งที่มุ่งหวัง?

           ผมหวังว่า   หลักๆการที่ผมทำโปรเจคตลาดแลจันทร์   จะทำให้เศรษฐกิจสตูลดีขึ้น   อย่างน้อยพ่อค้าแม่ค้ามีลูกค้ามาเดินตลาดเยอะๆ  ชีวิตของพ่อค้าแม่ค้าก็จะสบายขึ้นเยอะ  นอกจากนั้นก็มองว่าถ้าตลาดสำเร็จจริงๆ   มันจะไม่ใช่ตลาดอย่างเดียวที่ได้รับผลประโยชน์   เพราะถ้านักท่องเที่ยวจากต่างจังหวัดมา   กิจการอย่างอื่นเช่น   โรงแรม   ก็มีผลพลอยได้ไปด้วยก็อยากจะขอฝากพี่น้องชาวสตูลว่า  เราเป็นสตูลเหมือนกัน อยากให้พี่น้องชาวสตูลมาช่วยสนับสนุนเพราะถ้าเราไม่ช่วยสนับสนุนกันเองก็ไม่รู้ว่าใครจะมา

          ตอนนี้ยังเปิดรับสมัครพ่อค้าแม่ค้าทางเพจ Facebook ตลาดแลจันทร์ มาช่วยกันสนับสนุนตลาดสตูลกันนะครับ

……………

อัพเดทล่าสุด
Categories
ท้องถิ่น-การเมือง ท่องเที่ยว-กีฬา

 กีฬาสูงวัยใจเกินร้อย  จัดหนักจัดเต็มกับกีฬามหาสนุกเน้นเสียงหัวเราะและสุขภาพดี   

สตูล-กีฬาสูงวัยใจเกินร้อย  จัดหนักจัดเต็มกับกีฬามหาสนุกเน้นเสียงหัวเราะและสุขภาพดี

          หลังประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ  หลายพื้นที่เข้ามาส่งเสริมสนับสนุนจัดกิจกรรมให้ผู้สูงอายุ  ได้อยู่ในสังคมอย่างมีความสุข และสุขภาพดี 

         เหมือนอย่างเช่นที่เทศบาลตำบลคลองขุด   อำเภอเมือง จังหวัดสตูล  นายสุนทร พรหมเมศร์  นายกเทศมนตรีตำบลคลองขุด  ร่วมกับนางประมูล มีบุญ  ประธานชมรมผู้สูงอายุตำบลคลองขุด และ นางประไพ อุบลพงศ์  ประธานโครงการฯ   ได้ร่วมกันจัดการแข่งขันกีฬามหาสนุก  ภายใต้โครงการ ผู้สูงอายุสุขภาพกายดี สุขภาพจิตดี ชีวีมีสุข ประจำปีงบประมาณ 2567  ซึ่งมีการจัดขึ้นภายในอาคารอเนกประสงค์ โรงเรียนบ้านคลองขุด  โดยนักกีฬาแต่ละสี แต่ละทีม  ก็แต่งกายจัดหนักจัดเต็มแบบไม่มีใครยอมใคร ย้อนวัยสวยสมวัยกับชุดเดินพาเหรด

        โดยเกมกีฬาเป็นการละเล่นที่เน้นความสนุกสนาน  ความสามัคคีในหมู่คณะ  การละเล่นที่เน้นเสียงหัวเราะ และปลอดภัยเหมาะสมกับสุขภาพของผู้สูงอายุ  เช่น  เกมทูนของ  เป็นการนำถาดใส่แตงโมแล้วนำมาวางไว้บนศีรษะ  โดยผู้เข้าร่วมแข่งขันจะต้องไม่ให้ถาดหล่นลงมาที่พื้น  ไม่งั้นจะถือว่าแพ้เกมการแข่งขัน  ซึ่งการแข่งขันลักษณะนี้ก็มีหลายคน  ที่มีความเชี่ยวชาญในการนำถาดมาทูนบนหัว  แต่ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถทำได้สำเร็จ  สร้างเสียงหัวเราะให้กับกองเชียร์และผู้เล่นได้ไม่น้อย

        เกมแชร์บอล เป็นเกมทดลองประสิทธิ์ภาพความแม่นยำการเล็งของผู้สูงอายุ  ที่หลายคนก็สามารถเล่นได้อย่างสบาย ๆ  นอกจากนี้ยังมีเกมส่งข่าวสาร ที่เน้นเล่นเป็นทีม  ถึงข่าวสารที่ได้รับมาและส่งต่อ  ว่าจะเหมือนเดิมหรือมีการแปลงข่าวสารหรือไม่  ก็เป็นเกมที่เล่นง่ายๆ  แต่ก็เล่นเอาผู้สูงอายุฟังผิดเพี้ยนไปตามๆ กันเลยทีเดียว   ส่วนเกมส่งลูกมะพร้าวเล่นกันเป็นทีม  ยังเป็นการฝึกสมาธิให้ผู้สูงอายุ และการยืดเหยียดไปในตัวด้วย 

          ส่วนเกมไกวเปล ก็เล่นค่อนข้างจะยาก  เพราะต้องเน้นความพร้อมเพียงกัน  ไม่อย่างนั้นลูกโป่งที่ใส่น้ำที่นำมาไกวเปล  ก็จะหล่นแตกเหมือนอย่างหลายกลุ่ม เกมสุดท้ายด่านยาก   เกมปิดตากินแตงโมงร้อยเข็มและกรอกน้ำ  ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้เล่นได้ไม่น้อย  รวมทั้งกองเชียร์ที่หลายคนยอมรับว่า  เป็นเกมกีฬาที่สร้างความสนุกสนานและเสียงหัวเราะให้กับพวกตนได้มาทำกิจกรรมร่วมกัน   สำหรับทีมผู้ชนะในครั้งนี้ทางนายกเทศมนตรีตำบลคลองขุด  ยังมีรางวัลให้เป็นของขวัญ  กับทีมสีผู้สูงอายุที่ชนะ และรองชนะทั้งหมดด้วย 

         นายสุนทร  พรหมเมศร์  นายกเทศมนตรีตำบลคลองขุด  บอกว่า  การส่งเสริมการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ต้องการให้ผู้สูงอายุออกมาจากบ้านมาร่วมกิจกรรมกันเพื่อความผ่อนคลาย และร่วมกันออกกำลังกาย  ได้ยิ้มแย้มแจ่มใสไม่เน้นชัยชนะมากเกินไป เช่นการส่งลูกมะพร้าวเพื่อให้ทุกคนมีสมาธิฝึกร่วมกิจกรรม และเชื่อมความสัมพันธ์กัน โดยปกติทุกวันกลุ่มผู้สูงอายุชุดนี้ก็จะมีการออกกำลังกายรวมกันอยู่แล้ว  กลุ่มผู้สูงอายุกลุ่มนี้ถือว่ามีความเข้มแข็งมาก ทางเทศบาลตำบลคลองขุดเองจะเข้ามาผลักดันและพร้อมส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีความสุขทั้งกาย ใจและสุขภาพแข็งแรง

…………………………….

อัพเดทล่าสุด
Categories
ข่าวทั่วไป เกษตร - อาชีพ

  สตูล-เร่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนชิม แตงโมริมทะเลแหลมสน ที่หวานฉ่ำกรอบ หน้าสวนขายเพียงกก.ละ 10-12 บาท หลังแตงโมหลายพื้นที่ออกมาตีตลาด    

สตูลเร่งประชาสัมพันธ์เชิญชวนชิม แตงโมริมทะเลแหลมสน ที่หวานฉ่ำกรอบ หน้าสวนขายเพียงกก.ละ 10-12 บาท หลังแตงโมหลายพื้นที่ออกมาตีตลาด

          หลังว่างเว้นจากการออกเรือประมงและทำนาข้าว  ชาวบ้านริมชายทะเลหมู่ที่ 3 ตำบลแหลมสน อำเภอละงู จังหวัดสตูล  จะลงมือปลูกแตงโมพันธุ์  เมย์ย่า และ โบอิ้ง  ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมของตลาด  และเหมาะสมกับการปลูกในพื้นที่   เนื่องจากที่นี่มีสภาพเป็นดินทรายน้ำไม่ขัง  มีความเป็นกรดและด่าง  มีแคลเซียมจากเปลือกหอย  จึงทำให้แตงโมแหลมสนมีความหวาน  กรอบอร่อย  และขึ้นชื่อมาอย่างยาวนาน

 

         แตงโมแหลมสน  จะปลูกปีละ 2 ครั้ง บนพื้นที่ 200 ไร่  มีเกษตรกรปลูกมากถึง 60 ราย  โดยภายใน 60 วัน  ที่นี่จะเต็มไปด้วยแตงโม เฉลี่ยผลผลิต 2.5 ตัน/ไร่ สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกร  30,000 บาท/ไร่   จากราคาที่จำหน่ายหน้าสวน 10 – 12 บาท/กิโลกรัม

 

          นายวัชระ  ติ้งโหยบ   อายุ 51 ปี  เกษตรกรหมอดินอาสา  ปลูกแตงโมแหลมสน  บอกว่า  ในช่วงแล้งเกษตรกรจะปลูกในระบบบ่อน้ำตื้น  และระบบน้ำหยดที่ให้ปุ๋ยไปพร้อมกับการปล่อยน้ำ  รดสวนแตงโม  เป็นปุ๋ยเคมีกับปุ๋ยอินทรีย์  ใช้เวลาปลูกเพียง 60 วัน  ก็เก็บผลผลิตได้  ในช่วงแล้งนี้ก็จะประสบปัญหาเรื่องแมลงเพลี้ยไฟ  เพลี้ยอ่อน  ที่เข้ามาดูดน้ำเลี้ยงทำให้ผลไม่โตบ้างเหมือนกัน  อีกทั้งปัญหาแล้งที่ยาวนานไปหน่อย  แต่ก็ยังพอใจ   ราคาพออยู่ได้  แต่ไม่ดีเท่าปีก่อนที่กิโลกรัมละ 15 บาท  แต่ปีนี้เหลือเพียง  10 บาท  อยากให้ภาครัฐช่วยหาแม่ค้ามารับซื้อ  เพราะแตงโมหลายพื้นที่ออกพร้อมกัน  หลายคนหวัง  จะขายในช่วงเดือนถือศีลอด

 

         นางสาวมนัสนันท์ นุ่นแก้ว เกษตรอำเภอละงู พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงานเกษตรอำเภอละงู ลงพื้นที่ตรวจสอบ   สวนแตงโมของเกษตรกร   ตลาด  และประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จัก  หลังพบว่าปีนี้เกษตรกรประสบปัญหาทางการตลาด  ที่มีการปลูกแตงโมพร้อม ๆ กันในหลายพื้นที่   ทำให้แม่ค้ามารับซื้อลดลง   ในการรับซื้อผลผลิตของเกษตรกร โดยได้ประสานกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ให้เข้ามารับซื้อผลผลิตเพิ่มขึ้น  หากลูกค้าท่านใดสนใจสามารถกติดต่อสอบถาม  ได้ที่เกษตรอำเภอละงู  หรือติดต่อเกษตรกรโดยตรงที่   สนใจติดต่อ 092-627  3653  พร้อมกันนี้ทางเกษตรอำเภอละงู  จะช่วยส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรได้รับมาตรฐาน GAP ด้วย

          นอกจากนี้  ที่นี่ยังมีการปลูกแตงไท  และพริกสด อีกหนึ่งแหล่งรายใหญ่ของจังหวัดสตูลด้วย

…………………………………..

 

อัพเดทล่าสุด